ห้องเม่าปีกเหล็ก

รีบช้อนก่อนหมดรอบ 'พิเชษฐ สิทธิอำนวย'

โดย knowledge_trader
เผยแพร่ :
73 views

 

อย่ากลัวหุ้นไทยเหวี่ยงไปมา จังหวะนี้เหมาะแก่การเก็บหุ้น PE ต่ำ เด่นสุด ยกให้ 'แบงก์ & วัสดุก่อสร้าง' พิเชษฐ สิทธิอำนวย เอ็มดีใหญ่ บล.บัวหลวง

นับตั้งแต่ประเทศอังกฤษประกาศแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) นักลงทุนต่างชาติต่างพากันโยกเงินลงทุนมาฝังตัวอยู่ใน 'ตลาดเกิดใหม่' ตามสัญญาณเรดาร์ ซึ่ง 'ตลาดหุ้นไทย'ถือเป็นแหล่งสร้างผลตอบแทนชั้นดีประเทศหนึ่ง

 

สะท้อนผ่านตัวเลขซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ระดับกว่า 9.7 หมื่นล้านบาท (วันที่ 24 มิ.ย.-ปัจจุบัน)

แม้สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 12-16 ก.ย.) นักลงทุนต่างชาติที่มีต้นทุนดัชนีเฉลี่ย 1,500 จุด จะขาดทุนจากการลงทุนประมาณ 4-6% หลังหุ้นไทยปรับตัวลดลงมายืนระดับ 1,411-1,440 จุด เพราะมีความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเฟด วันที่ 20-21 ก.ย.นี้

แต่ตลอดสัปดาห์ยังคงเห็นต่างชาติหาจังหวะเข้าออกหุ้นไทยต่อเนื่อง เรียกว่า ซื้อขายตามความเห็นของกรรมการเฟดที่พากันออกมาแสดงความเห็นเรื่องดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุด 'ลาเอล เบรนนาร์ด' หนึ่งในกรรมการเฟด ระบุว่า ไม่ต้องการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้
ผ่านมา 6 เดือน ต่างประเทศซื้อหุ้นไทยแล้วกว่า 1.2 แสนล้าน

 

'พิเชษฐ สิทธิอำนวย' กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง หรือ BLS เปิดห้องประชุมเล็ก วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า ช่วงที่เหลือของปี 2559 ดัชนีคงตกอยู่ในอาการตื้อๆ โอกาสไปต่อไกลๆ คงมีไม่มากเท่าไหร่นัก หลังปรับขึ้นมาแล้ว 15-20%

 

แม้ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ นั่นคือ กังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาด ในการประชุมเฟดวันที่ 20-21 ก.ย.นี้

ทว่าหากพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศที่สถานการณ์ต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว เป็นต้น โอกาสจะเห็นตัวเลขจีดีพีสิ้นปี 2559 แตะระดับ 3% ไม่ใช่เรื่องยาก ฉะนั้นนักลงทุนไม่ต้องกังวลว่า หุ้นไทยจะลงไปต่ำกว่านี้ เว้นแต่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ใหม่ (ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดระดับ 1,411 จุด ตัวเลขวันที่ 12 ก.ย.2559)

 

'ดัชนีจะวิ่งไปแตะ 1,600 จุด ได้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ โดยเฉพาะตัวเลขกำไรของเหล่าบริษัทจดทะเบียน แต่ผ่านมา 2 ไตรมาส ถือว่า ทำได้ดีเกินคาด'

เขา ย้ำว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน เดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้นเช่นนี้ หลังนักลงทุนรอดูข่าวเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน นักลงทุนควรใช้โอกาสนี้เลือกซื้อหุ้นที่ดีบางตัว โดยเฉพาะ 'กลุ่มแบงก์' และ 'กลุ่มวัสดุก่อสร้าง' เพราะค่า PE ยังอยู่ในระดับต่ำ
ในช่วงที่เหลือของเดือนก.ย.ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

ตลาดหุ้นถือเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเฉลี่ย 10% รองลงมาเป็นทองคำ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นพันธบัตร สะท้อนผ่านผลตอบแทนเฉลี่ย 2-3% นายใหญ่มีความเชื่อเช่นนั้น

ส่วนใครที่ยังไม่กล้าลงทุนหุ้น แนะนำให้ลงทุนใน 'อินฟราฟันด์' แม้ราคาจะผันผวนบ้าง แต่ผลตอบแทนนิ่งเฉลี่ย 6-7% ยกตัวอย่าง ในอดีตบล.บัวหลวง เคยขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS ราคา 10 บาท ผลตอบแทน 9% ช่วงหนึ่งราคาหล่นไป 8 บาท แต่วันนี้ราคาวิ่งแถวๆ 12 บาท ผลตอบแทน 6-7% ถือว่า สร้างกำไรได้ดี

นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความผันผวน เขา ตอบคำถามนี้ว่า ขึ้นอยู่ที่ว่ากระเป๋าตังค์ของคุณหนาแค่ไหน (หัวเราะ)
สำหรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์ ในส่วนของ 'นักลงทุนอนุรักษ์นิยม' แนะนำแบ่งเงินไปลงทุนตลาดเงิน 30% หุ้นกู้ 28% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% หุ้นไทย 6% หุ้นสหรัฐ 6% หุ้นเยอรมัน 4% หุ้นญี่ปุ่น 4% หุ้นอินเดีย 4% ทองคำ 5% และน้ำมัน 3%

ส่วนพอร์ตเชิงเทคนิค สำหรับ 'นักลงทุนเชิงรุก' แนะนำลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 23% หุ้นกู้ 16% หุ้นไทย 13% หุ้นสหรัฐ 12% หุ้นญี่ปุ่น 10% หุ้นอินเดีย 7% ทองคำ 8% น้ำมัน 4% และหุ้นเยอรมัน 4%

 

๐สำรวจเศรษฐกิจพี่ใหญ่

เมื่อถามถึงมุมมองที่มีต่อประเทศสหรัฐอเมริกา 'พิเชษฐ' บอกว่า วันนี้คงไม่มีใครรู้ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไหร่ เท่าที่ดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวออกมากลางๆ ไม่โดดเด่นนัก แต่ถือว่า ดีกว่ากลุ่มยุโรป เช่น ตัวเลขการว่างงาน เป็นต้น เพราะวันนี้ยุโรปยังไม่พ้นห้องไอซียู

ส่วนภาพรวมของประเทศจีน ตอบยากเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมา เขาทำอะไรไปบ้าง ไม่มีใครเห็นตัวเลข แต่เชื่อว่า จากนี้เศรษฐกิจประเทศจีนคงไม่เติบโตสองหลักเหมือนก่อนแล้ว แต่ถ้าจีนโตประเทศอื่นๆ ก็จะขยายตัวตามไปด้วย

สำหรับประเทศญี่ปุ่น คาดการณ์ลำบากเช่นกัน แต่น่าจะดีกว่าเมื่อก่อน หลัง 'ชินโซ อะเบะ' นายกรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เพียงแต่ตอนนี้การเจริญเติบโตของประเทศยังเดินทางไปไม่ถึงจุดที่ต้องการเท่านั้น

 

'เมืองไทยยังพึ่งพาส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้นหากเศรษฐกิจโลกดี ส่งออกไทยจะดีตามไปด้วย แต่ปีนี้ส่งออกคงติดลบ แม้จะกระจายความเสี่ยง ด้วยการไม่ทิ้งน้ำหนักส่งออกไป ใน ประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วก็ตาม'

๐โลกเปลี่ยนโบรกเกอร์ต้องขยับ

สิ่งแวดล้อมโลกไม่เหมือนเดิม โบรกเกอร์ทำงานยากหรือไม่ กรรมการผู้อำนวยการ ตอบว่า วันนี้ธุรกิจโบรกเกอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น สมัยก่อนจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์ทำงานเพียงอย่างเดียว คือ ขายหุ้น

แต่ตอนนี้ทำเช่นนั้นอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะลูกค้าต้องการความมั่งคั่งทางการเงินมากขึ้น ท่ามกลางผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้เลือกหลากหลาย ฉะนั้นโบรกเกอร์ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา

วันนี้นักลงทุนไทยหลายรายมีความสนใจจะเข้าไปลงทุน หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ ออฟชอร์เทรดดิ้ง Offshore Trading (OT) ซึ่งบล.บัวหลวง อยู่ระหว่างศึกษาว่า ทางเลือกนี้เหมาะกับเราหรือไม่

โดยเฉพาะตลาดหุ้นอินเดีย ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ หลังสัญญาณหุ้นกำลังจะมา เพราะเศรษฐกิจน่าจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น

เขา เล่าต่อว่า ที่ผ่านมา บล.บัวหลวง พยายามนำบริษัทจดทะเบียนไปเจอนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศมากขึ้น ซึ่งคุณสมบัติบริษัทจดทะเบียนที่ดีต้องเป็นไซด์ใหญ่ที่มีสตอรี่ที่ดี ล่าสุดเดินทางไปโรดโชว์ในต่างประเทศ ถือว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดี

เมื่อถามถึงการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น 'พิเชษฐ' บอกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2559 คงจะทยอยนำหุ้นไอพีโอเข้าตลาดหุ้น หลังตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้นำหุ้นตัวไหนเข้าตลาดหุ้นเลย เนื่องจากต้องการรอดูทิศทางรอบด้านก่อน

หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.อาฟเตอร์ ยู หรือ AU ผู้ประกอบการธุรกิจร้านขนมหวาน เบเกอรี่ เเละกาเเฟ ภายใต้เเบรนด์ After You Cafe จะพยายามนำบริษัทเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ให้ทันภายปีนี้ (ยังไม่ฟันธง)

 

จุดเด่นของ AU คือ 'เมย์-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ' ในฐานะเจ้าของ เธอเก่งสามารถคิดค้นสินค้าที่เหมาะกับรสนิยมคนไทยได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีวิธีการจับธุรกิจที่น่าสนใจและมีมาร์จิ้นที่ดี ปัจจุบันมีสาขากระจายตัวกว่าสิบแห่ง

หลายคนมักตั้งคำถามว่า เหตุใดหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ เปิดตัววันแรกราคาไม่สูงเท่าหุ้นขนาดเล็ก คุณต้องคิดตามนะ หุ้นขนาดใหญ่มีหุ้นเข้าเทรดจำนวนมาก ขณะที่หุ้นขนาดเล็กมีหุ้นเข้าเทรดน้อยกว่า แต่หากมองในแง่ของความต้องการไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่หุ้นขนาดเล็กคนเข้ามาแย่งมากกว่าก็เท่านั้น...

เมื่อถามถึงเป้าหมายผลประกอบการในปี 2559 นายใหญ่ หัวเราะ ก่อนพูดว่า คำถามโลกแตกอีกแล้ว เมื่อก่อนทีมงานเคยตั้งเป้าหมายว่า ต้องการเห็นตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ 5% แต่ตอนนี้ไม่ค่อยให้น้ำหนักมากเท่าไหร่แล้ว เพราะทำได้แล้ว

 

วันนี้ขอเน้นเรื่องการให้ 'ความรู้นักลงทุน' หลังห้องค้าหลายสาขาของเราถูกดัดแปลงเป็นห้องเรียนหมดแล้ว เพราะนักลงทุนไม่ค่อยเข้ามานั่งห้องค้า มีแต่กลุ่มเดิมๆ หน้าใหม่ๆ ไม่ค่อยมา ฉะนั้นในช่วงเย็นของวันเสาร์และอาทิตย์ โบรกเกอร์จะเปิดสอนเรื่องการลงทุน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน บางสาขาเก้าอี้ไม่พอนั่ง

ขณะเดียวกันยังหันมาเน้นเรื่อง “นวัตกรรม” มากขึ้น ด้วยการหาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้า ซึ่งลูกค้าก็ให้การตอบรับที่ดี สะท้อนผ่านการที่ บล.บัวหลวงมีจำนวนลูกค้าเปิดบัญชีมากที่สุดเวลาไปออกบูธตามงานต่างๆ

 

ปัจจุบันมีลูกค้า 200,000 บัญชี แต่พอร์ตเคลื่อนไหวเฉลี่ย 3-5% ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด

 

๐พัฒนาระบบเอาใจนักช้อปหุ้น

กรรมการผู้อำนวยการ เล่าว่า ที่ผ่านมาบล.บัวหลวง เดินหน้าพัฒนาระบบมาแล้วหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน เช่น บัวหลวง สต็อก ซิกแนล (Bualuang Stock Signal)

ระบบดังกล่าวจะช่วยสแกนว่า หุ้นตัวไหนกำลังจะเป็นกระทิง ตัวไหนกำลังจะเป็นหมี ด้วยการวิเคราะห์จากเส้นกราฟที่เป็นเรื่องเข้าใจยาก สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยโปรแกรมดังกล่าวจะปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทุกๆ 30 นาที

นอกจากนั้นยังมี บัวหลวงคอนเน็ก (BualuangConnex) โปรแกรมนี้จะทำให้นักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนแบบออนไลน์ สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่ายขึ้น เพราะจะมีห้องสำหรับพูดคุย (Chat room) เพื่อคอยเตือนนักลงทุนในหลากหลายเรื่อง ที่สำคัญยังมีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่ถือลงทุนด้วย เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังมี บัวหลวง โนเลท แชร์ริ่ง (Bualuang Knowledge Sharing) ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวจะมีบทความด้านการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้,หุ้น และกองทุนรวม เป็นต้น ที่สำคัญยังมีบทความทางด้านเทคนิคด้วย เรียกว่า อัพเดตข้อมูลกันทุกวัน

 

'วันนี้มีนักลงทุนซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต 70% ที่เหลือซื้อขายผ่านมาร์เก็ตติ้ง 30% หลังไลฟ์สไตล์นักลงทุนเปลี่ยนแปลงไป แต่รายกลางและใหญ่ยังคงใช้บริการมาร์เก็ตติ้งเหมือนเดิม ปัจจุบนโบรกเกอร์มีมาร์เก็ตติ้ง 400 คน และนักวิเคราะห์ 12 คน ดูแลหุ้น 125 ตัว'


knowledge_trader