ข้องใจ TOR ท่าเรือมาบตาพุดบังคับนำเข้า LNG - ขอเคลียร์กระทรวงพลังงาน
กนอ.ไขข้อกังวล 18 นักลงทุนซื้อซองท่าเรือมาบตาพุดระยะ 3 หวั่นข้อกำหนดขั้นต่ำต้องนำเข้าก๊าซ LNG 5 ล้านตันภายในปี 2567 แถมผลตอบแทนทางการเงินยังน้อยกว่าโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน
น.ส.สมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ( กนอ. ) กล่าวภายหลังการประชุมชี้แจงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ( ช่วงที่1 ) หลังจากที่เปิดขายซอง TOR ในกลางเดือนที่ผ่านมานี้ปรากฏมีนักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อซองทั้งหมด 18 ราย ซึ่งได้เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงครั้งนี้ด้วย
และ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ตามนโยบายของกระทรวงพลังงานล่าสุด นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงพลังงานเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานในการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 กับผู้รับสัมปทานโดยให้เอกชนร่วมดำเนินงานในกิจการของรัฐรูปแบบ PPP เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ( ช่วงที่1 ) อยู่ภายใต้ EEC Project List ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่เป็นการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( EEC ) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ ( LNG ) ของท่าเรือ
อุตสาหกรรมมาบตาพุดที่จะรองรับการขนถ่ายสินค้าเหลวได้ประมาณ 15 ล้านตันต่อปีในอีก 30 ปีข้างหน้า
ผู้สื่อข่าว“ประชาชาติธุรกิจ” รายงานจากที่ประชุมเข้ามาว่าตัวแทนจากบริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)-บริษัทพีทีทีโกลบอลเคมิคอลจำกัด (มหาชน)-บริษัทไทยแท้งค์เทอร์มินัลและบริษัทซีเอชอีซี ( ไทย ) ต่างแสดงความกังวลเรื่องปริมาณความต้องการ LNG ที่ยังคงไม่แน่ใจว่าระยะเวลาที่กำหนดให้สร้าง LNG Terminal 2 ปีนั้น “ สั้นเกินไปหรือไม่ ” เนื่องจากมีข้อกำหนดที่ต้องมีปริมาณนำเข้าก๊าซ LNG ที่ 5 ล้านตันและทำไมจะต้องเริ่มนำเข้าก๊าซ LNG ในปริมาณที่ 5 ล้านตันในทันที
ขณะที่ข้อกำหนดการพัฒนาธุรกิจและบริหารจัดการท่าเรือก๊าซมีผลการศึกษาคาดการณ์ปริมาณการขั้นต่ำก๊าซ LNG ในปี 2574 จะอยู่ที่ 1.77 ล้านตัน/ปีและหากทั้ง 2 กรณีมี LNG ไม่ถึงจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรจะเสียค่าปรับหรือไม่และยังคงกังวลเรื่องของผลตอบแทนอัตราคิดลดทางการเงิน 2.5%“ ที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่คิดอัตราที่ 6%” ภาพรวมทั้งหมดในทางเทคนิคถือว่า “ ยากและจะมีผลต่อการกู้เงินที่จะยากยิ่งกว่า ”
ซึ่งทางกนอ.ชี้แจงเพิ่มเติมว่าการที่กำหนดให้ต้องเริ่มนำเข้า LNG ในปริมาณที่ 5 ล้านตันในทันทีในปี 2567 เนื่องจากต้องการให้มีกิจกรรมโดยไม่ใช่ก่อสร้างแล้วทิ้งโครงการไว้ซึ่งในระหว่างก่อสร้างได้เปิดให้มีเวลาหาตลาดด้วยเช่นกัน
สำหรับนักลงทุนที่ซื้อซอง 18 บริษัทประกอบด้วยกลุ่มนักลงทุนไทย 10 ราย
1) บมจ. พีทีทีโกลบอลเคมิคอล
2) บมจ. กัลฟ์เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์
3) บมจ.ยูนิคเอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น
4) บมจ.อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์
5) บมจ. พีทีทีแทงค์เทอร์มินัล
6) บริษัทไทยแท้งค์เทอร์มินัล
7) บมจ. ผลิตไฟฟ้า
8) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง
9) บริษัทซีเอชอีซี(ไทย) และ
10) บริษัทสหการวิศวกร
กลุ่มนักลงทุนจีน 4 ราย
1) China Railway Construction Corporation
2) China Harbour Engineering
3) บริษัทชิโนไฮโดรคอร์ปอเรชั่นลิมิเต็ด และ
4) บริษัทไชน่าคอมมูนิเคชั่นคอนสตรัคชั่น
กลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น 2 ราย
1) บริษัท Mitsui & Co., Ltd. กับ
2) บริษัท Tokyo Gas Co.,Ltd.
และกลุ่มนักลงทุน
เนเธอร์แลนด์ 2 ราย
1) บริษัท Boskalis International B.V. กับ
2) บริษัท Vopak LNG Holding B.V.
หมายเหตุ: 1) ที่มาจาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน – วันที่ 2 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง ( จากปัจจัยขับเคลื่อนและผลักดันโดยประธานาธิบดี Donald Trump ) และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ ( จากปัจจัยขับเคลื่อนและผลักดันโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) ได้ใน longtunbysak.blogspot.com