สิ่งที่วัดฐานะของประเทศต่าง ๆ ในโลกก็คือดูจาก GDP: Gross Domestic Product “ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ” หรือ รายได้ที่เกิดขึ้นจากประชาชนในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในการขายสินค้าหรือจากการบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าจ้าง เงินเดือน กำไร ดอกเบี้ย หรือค่าเช่า เป็นต้น
.
.
บทความจาก Global Finance นำเสนอลำดับ GDP ของประเทศต่าง ๆ ในโลกประจำปี 2022 บางประเทศอาจได้เปรียบในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ บางประเทศได้เปรียบในฐานะเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก แต่ที่สำคัญถ้ายิ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมีประชากรจำนวนไม่มาก ความมั่งคั่งก็จะยิ่งอยู่ในระดับสูง เพราะจะต้องนำมาหารเฉลี่ยออกมาเป็นรายได้ต่อคนต่อปี
.

.
อันดับที่ 10 บรูไน: 74,953 ดอลลาร์/คน/ปี
นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี 1984 บรูไนก็เติบโตด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งทะเล ทั่วโลกรับรู้ถึงความมั่งคั่งของสุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ ที่คาดกันว่าทรงมีทรัพย์สินมากกว่าควีนเอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษราว 50 เท่าตัว ในขณะที่หนึ่งในสามของประชากรทั้งประเทศที่มีอยู่ราว 450,000 คนยังคงมีชีวิตอยู่อย่างยากจน แต่อย่างไรก็ตาม ประชากรยังได้รับสวัสดิการของรัฐ อย่างการศึกษา และการรักษาพยาบาล ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
.
.
อันดับที่ 9 สหรัฐอเมริกา: 76,027 ดอลลาร์/คน/ปี
สหรัฐอเมริกาอาจเป็นข้อยกเว้นว่า ประเทศที่ร่ำรวยมักมีขนาดเล็ก ด้วยเพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ประชากรที่มีถึง 330 ล้านคนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก เช่นเดียวกับขนาดของพื้นที่ก็กว้างใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเช่นกัน ในช่วงสองปีมานี้ที่โลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด - 19 เศรษฐกิจชะลอตัว และท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ (Billionaire) ซึ่งมีอยู่ราว 727 คน ก็ยังคงมีทรัพย์สินโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าทรัพย์สินของประชากรครึ่งประเทศรวมกัน
.
.
อันดับที่ 8 นอร์เวย์: 77,808 ดอลลาร์/คน/ปี
เศรษฐกิจของนอร์เวย์ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาตินอกชายฝั่ง จากการค้นพบแหล่งพลังงานในทะเลเหนือในช่วงทศวรรษ 1960 และยังเป็นประเทศที่มีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคืนผลประโยชน์กลับมาเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน ซึ่งแทบจะใม่มีช่องว่างทางการเงินหรือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มีมาตรฐานการครองชีพสูง มีคำพูดติดตลกว่า สภาพห้องขังนักโทษในเรือนจำ ดูดีกว่าห้องพักมาตรฐานของโรงแรมในบางประเทศ
.
.
อันดับที่ 7 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: 78,255 ดอลลาร์/คน/ปี
UAE ประเทศผู้ทรงอิทธิพลในอ่าวเปอร์เชีย ที่เปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรม ทำประมง ซื้อขายไข่มุก มาสู่การเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน การทำให้ “ดูไบ” กลายมาเป็น Hub หรือศูนย์กลางการขนส่งสินค้าที่สำคัญของโลก รวมไปถึงการยกเว้นภาษีเงินได้ ทำให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก พร้อม ๆ กับปริมาณตึกระฟ้าที่เพิ่มจำนวนขึ้น ปัจจุบันมีเพียง 20% ของผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้เท่านั้น ที่เป็นชาว UAE โดยกำเนิด ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานที่นี่
.
.
อันดับที่ 6 สวิตเซอร์แลนด์: 84,658 ดอลลาร์/คน/ปี
ถ้าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์หลายคนอาจนึกถึงนาฬิกา และมีดพก ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่ชาวสวิสผลิตให้กับโลก รายได้หลักของประเทศนี้ยังมาจากการส่งออกยา เครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการท่องเที่ยว ตลอดจนบริการทางการเงิน สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ โดยราว 14.9% ของประชากรมีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
.
อันดับที่ 5 มาเก๊า: 85,611 ดอลลาร์/คน/ปี
เกาะที่มีพื้นที่เพียง 30 ตารางกิโลเมตร แต่มีคาสิโนอยู่มากกว่า 40 แห่ง ดินแดนที่เคยอยู่ในการดูแลของโปรตุเกสมาก่อน และได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของการเล่นการพนันได้อย่างเสรีในเอเชีย ในเชิงรัฐศาสตร์มาเก๊าไม่ได้มีฐานะเป็นประเทศ และกลับมาอยู่ใต้การปกครองของจีน แต่ก็สร้างรายได้ได้เป็นจำนวนมาก ปราศจากหนี้สิน และในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 คาสิโนในมาเก๊าสูญเสียรายได้เฉลี่ยประมาณวันละ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังคงเป็นประเทศที่รวยติดอันดับโลก
.
.
อันดับที่ 4 กาตาร์: 112,789 ดอลลาร์/คน/ปี
กาตาร์มีความคล้ายกับ UAE ตรงที่เป็นเมืองทำประมงเล็ก ๆ ก่อนที่จะค้นพบน้ำมันในปี 1939 และนำรายได้เข้าประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำจากการส่งออกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง จนติดอันดับชาติที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่องมานาน 20 ปี ซึ่งในปี 2022 นี้ กาตาร์กำลังจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดผู้คนราว 1.2 ล้านคนให้เดินเข้าประเทศ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรํฐ
.
.
อันดับที่ 3 ไอร์แลนด์: 124,596 ดอลลาร์/คน/ปี
ประเทศที่ใช้กลยุทธ์เก็บภาษีภาคธุรกิจในอัตราที่ต่ำ จึงดึงดูดให้บริษัทยักษ์ใหญ่จากทั่วโลกมาตั้งฐานการผลิตที่นี่ โดยเฉพาะธุรกิจด้านการบริการอย่าง Call Center การทำบัญชี และCustomer Service ผนวกกับรายได้จากการท่องเที่ยว การเกษตร และการส่งออกโลหะ เบียร์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งและแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในยุโรป อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเหลื่อมล้ำด้านฐานะในหมู่ประชากรที่มีอยู่เพียง 5 ล้านคน ปรากฎให้เห็นด้วยเช่นกัน
.
.
อันดับที่ 2 สิงคโปร์: 131,580 ดอลลาร์/คน/ปี
ประเทศเล็ก ๆ ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อเกือบ 60 ปีก่อน ประชากรและผู้นำทำงานอย่างหนักในการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมชาติอื่น แม้จะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตัวเอง แต่สิงคโปร์ก็สามารถจัดสภาพแวดล้อมในประเทศให้เหมาะแก่การลงทุน กำหนดนโยบายและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำการค้าเสรี เป็นนายหน้าในการซื้อขายสินค้ากับนานาชาติได้แม้ไม่ได้ผลิตสินค้าขึ้นมาเอง และเป็นศูนย์กลางทางการเงินในอาเซียน ไม่มีการเก็บภาษีจากกำไร หรือเงินปันผลจากการลงทุน
.
.
อันดับที่ 1 ลักเซมเบิร์ก: 140,694 ดอลลาร์/คน/ปี
ประเทศเล็ก ๆ ใจกลางแผ่นดินยุโรป ที่ไม่มีทางออกทะเล แต่ร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรม ที่สะท้อนให้เห็นผ่านทางวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทัศนียภาพในชนบทที่สวยงามและปราสาทราชวังเก่าแก่มากมาย ประชากรราว 630,000 คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการศึกษาสูง ในอดีตเคยมีรายได้จากอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ ก่อนจะมาเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่สำคัญของยุโรป เป็นสวรรค์ของการลงทุน เป็นศูนย์กลางของการจัดตั้งกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลกเพื่อการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ปกป้องความลับของนักลงทุนต่างชาติมีมาเปิดบัญชีเงินหมุนเวียนข้ามชาติที่นี่ แถมยังคิดอัตราภาษีในระดับต่ำ
สำหรับประเทศไทยประชากรของเราร่ำรวยเป็นอันดับที่ 77 ของโลก กับ GDP ที่ 21,057ดอลลาร์/คน/ปี หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 761,465 บาท
.
.
ลองเอาตัวเลขนี้ เปรียบเทียบดูกับรายได้ที่เราได้รับในแต่ละปี เพียงเท่านี้ก็คงจะ รู้ได้ไม่ยากว่า ฐานะของเราใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย GDP ของประเทศกันแล้วหรือยัง
.
.
ที่มา: https://www.gfmag.com/.../richest-countries-in-the-world
.