เศรษฐกิจไทยโตช้า ‘เรื้อรัง’ ‘ทีดีอาร์ไอ’ แนะโมเดลใหม่
- TDRI ระบุ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะ “โตช้าเรื้อรัง” มากว่า 30 ปี ทำให้เติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน และเสี่ยงที่รายได้ต่อหัวของเวียดนามจะแซงหน้าไทย
- ประธาน TDRI ชี้ว่าปัญหาการเติบโตต่ำส่งผลกระทบต่อประชาชนรุนแรง ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง, แรงงานมีรายได้ไม่เพียงพอ และหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้น
- ดร.วิรไท ประธานบอร์ด TDRI เสริมว่าเศรษฐกิจไทยกำลัง “ติดหล่ม” หรืออาจ “ดิ่งเหว” สะท้อนจากตัวชี้วัดที่ด้อยลงแทบทุกด้าน เช่น ความสามารถในการแข่งขัน, คุณภาพการศึกษา และปัญหาคอร์รัปชัน
- TDRI แนะให้เปลี่ยนไปใช้โมเดลใหม่ที่เน้นปฏิรูปฝั่ง “การผลิต” แทนการกระตุ้น “การใช้จ่าย” โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างงานดี (Good Jobs) ที่มีรายได้เพียงพอ
- ข้อเสนอโมเดลใหม่จาก TDRI ประกอบด้วย 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) ปฏิวัติภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง 2) ยกระดับภาคบริการให้ส่งออกได้ 3) ผลักดันบริการสมัยใหม่ เช่น การออกแบบชิป และ 4) ดึงอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่
- เอกนิติ รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่าโมเดลใหม่ของรัฐบาลจะเน้นที่ “คน” โดยเร่งการพัฒนาทักษะแรงงาน (Reskill) ให้ตรงตามความต้องการของตลาด (Demand Driven) ควบคู่กับการรักษาวินัยการคลังอย่างเข้มงวด
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดสัมมนาประจำปีภายใต้หัวข้อ “Reimagining Thailand's Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “รัฐบาลกับการขับเคลื่อนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย” ว่า นับตั้งแต่รับตำแหน่งมุ่งหาคำตอบว่าไทยจะ “ก้าวข้ามโมเดลเก่า” ที่ฉุดรั้งการเติบโตมานานอย่างไร ท่ามกลางความท้าทายการเติบโตต่ำ การอาศัยอุตสาหกรรมเดิม ขาดการลงทุน และสังคมสูงวัย ขณะที่ “พลังของรัฐ” ทั้งงบประมาณและฐานะการคลังลดลงต่อเนื่อง
"สถานการณ์วันนี้ยากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เราไม่มีโมเดลใหม่แต่พลังเราน้อยลง โดยต่างชาติและ Rating Agency จับตาใกล้ชิด และหนึ่งในผลงานสำคัญ คือ S&P ยังไม่ลด Outlook หลังรัฐบาลส่งสัญญาณรักษาวินัยการคลังผ่านมาตรการเชิงปฏิบัติ"
นายเอกนิติ กล่าวว่า สิ่งที่ท้าทายสุด คือ เวลา 4 เดือน ถ้าจะวางรากฐานใหม่ให้ประเทศต้อง “ทำจริง” มากกว่าคิด ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานได้สั่งคืนเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทันทีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก 30,000 ล้านบาท เพื่อแสดงสัญญาณวินัยการคลังชัดเจน
ส่วนแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ฉบับใหม่ รัฐบาลเตรียมเสนอกรอบวินัยการคลังที่เข้มงวดกว่าเดิม เช่น ลดการขาดดุลจาก 4.4% สู่ระดับ 3% ภายในปี 2572, ควบคุมงบกลางไม่ให้เกิน 3% และกำหนดให้ชำระคืนหนี้ในงบประมาณไม่น้อยกว่า 4%
นายเอกนิติ กล่าวว่า หัวใจของโมเดลใหม่คือ "คน” นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติสะท้อนปัญหาเดียวกันคือแรงงานขาดทักษะที่ตลาดต้องการ รัฐบาลจึงเร่งรีสกิลแรงงานแบบ Demand Driven โดยร่วมกับ BOI และผู้ลงทุนต่างชาติ เพื่อระบุทักษะที่ต้องการจริง
สำหรับแผนรีสกิลใช้เงินจาก กองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ที่อนุมัติไปแล้วกว่าหมื่นล้านบาท และจะใช้รูปแบบใหม่ เช่น Short Course, การเรียนผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม, การใช้เทคโนโลยี AR เพื่อฝึกทักษะ และปั้นแรงงานยานยนต์เดิมให้ทำงานกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Motor Assembly ได้
“รัฐบาลมุ่งหวังให้มาตรการเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางและก้าวสู่โมเดลใหม่ที่แข็งแรงในระยะยาว”
เผยเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะ “โตช้าเรื้อรัง”
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิช ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวสัมมนาหัวข้อ “เครื่องจักรกไารเติบโตใหม่ในยุคโลกาภิวิตน์ย้อนกลับ” ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “โตช้าเรื้อรัง” ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี โดยแม้ประเทศไทยเคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 7% ต่อปี แต่ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 2% เท่านั้น ส่งผลให้ไทยรั้งท้ายภูมิภาคเอเชีย
วิกฤติเศรษฐกิจในรอบหลายทศวรรษไม่ได้กระทบชั่วคราว แต่ทำให้ศักยภาพการเติบโตของไทยลดลงอย่างถาวร หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ ภายในไม่เกินปี 2073 รายได้ต่อหัวของชาวเวียดนามจะสูงกว่าไทย ขณะที่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2579 “แทบไม่สามารถบรรลุผลได้” เพราะรายได้ต่อหัวไทยเพิ่มขึ้นช้ากว่าประเทศรายได้สูงอย่างมีนัยสำคัญ
"การเติบโตต่อหัวของไทยต่ำจนไม่มีวันไล่ทันประเทศรายได้สูง หากไม่ปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยปัญหาการโตต่ำยังส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างชัดเจนทั้ง 1. หนี้ครัวเรือนยังสูงกว่า 80% ของ GDP 2. ธนาคารไม่ปล่อยกู้ SME เพราะเสี่ยงหนี้เสีย 3. ภาครัฐต้องอุ้มหลายภาคส่วน ทั้งครัวเรือน เกษตรกร และธุรกิจ ทำให้หนี้สาธารณะพุ่ง"
นอกจากนี้ ค่าจ้างแรงงานต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนว่าผลตอบแทนไปสู่ทุนนิยมมากกว่าแรงงาน ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ว่างงานสูง แต่เป็นประเทศที่คนทำงานแล้ว "รายได้ไม่พอ” โดยแรงงานจำนวนมากไม่สามารถเลี้ยงชีพครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี
“ปัญหาเศรษฐกิจยังเชื่อมโยงไปถึงสังคมและการเมือง เช่น การทุจริต ความไม่โปร่งใส ความอ่อนแอของระบบนิติธรรม รวมถึงความเสี่ยงที่ไทยจะกลายเป็น “ประเทศสีเทา” หากปล่อยให้เครือข่ายฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาติขยายตัวต่อเนื่อง”
“Good Jobs” คือหัวใจการพาไทยรอด
นายสมเกียรติ กล่าวว่า สิ่งสำคัญสุด คือ ต้องสร้างงานดี (Good Jobs) ที่ให้รายได้เพียงพอ มีสวัสดิการ ความปลอดภัย และความก้าวหน้า เพราะหากคนมีงานดี สังคมจะสงบ การเมืองมีเสถียรภาพ และประเทศจะโตยั่งยืน ซึ่ง Good Job เกิดขึ้นได้เมื่อประชาชนมีทักษะสูงขึ้น ระบบการผลิตเข้มแข็ง และธุรกิจแข่งขันได้จริง
"เศรษฐกิจไทยหากเปรียบเสมือนเครื่องบิน จะมี 4 เครื่องยนต์สำคัญด้านการใช้จ่าย ได้แก่ การบริโภค การลงทุนเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออก รวมถึง 4 เครื่องยนต์ด้านการผลิต ได้แก่ ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และบริการภาครัฐ โดยที่ผ่านมารัฐบาลเน้นเร่งฝั่ง “การใช้จ่าย” มากเกินไป ขณะที่ “การผลิต” ถูกละเลย ทำให้ประเทศโอเวอร์โหลด และเมื่อครัวเรือนมีหนี้สูง การลงทุนสะดุด และการส่งออกยากขึ้น เครื่องยนต์เศรษฐกิจจึงเร่งไม่ขึ้น"
สำหรับปัญหาใหญ่ 3 ด้านของภาคการผลิตไทย อาทิ แรงงานขาดแคลน อัตราการเกิดลดลงต่อเนื่อง อุบัติเหตุคร่าชีวิตและมลพิษคร่าชีวิตหลายหมื่นคนต่อปี การเกณฑ์ทหารถูกดึงแรงงานออกปีละ 70,000 คน คุณภาพการศึกษาต่ำ ไม่ช่วยเพิ่มผลิตภาพ งบลงทุนรัฐลดลงเพราะงบประจำสูง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาไม่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ รวมถึงกฎระเบียบล้าหลัง ขัดขวางการลงทุนใหม่ ทำให้ทรัพยากรถูกบิดเบือนจากนโยบายที่ไม่ตรงเป้า
โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ ความเสี่ยงใหม่ของไทย
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ได้แก่ 1. สหรัฐตั้งกำแพงภาษีสูงที่สุดในรอบหลาย 10 ปี 2. ยุโรปออกมาตรการสิ่งแวดล้อม และ 3. สินค้าจีนล้นตลาด ทำให้ราคาสินค้าอุตสาหกรรมตกต่ำทั่วโลก โดยสถานการณ์นี้ทำไทยถูกบีบทั้งในตลาดโลกและในประเทศ โดยทางรอดนั้น ไทยควรมีโมเดลใหม่ด้านการผลิตไทย แบ่งเป็น
1.ปฏิวัติภาคเกษตร ต้องเลิกคิดว่าไทยต้องมีแรงงานเกษตร 30% เพราะไม่มีประเทศรายได้สูงใดมีแรงงานเกษตรมากขนาดนี้ ดังนั้น ทิศทางใหม่คือเกษตรพรีเมี่ยม-เกษตรมูลค่าสูง เช่น ญี่ปุ่นเพาะปลูกเมล่อนพรีเมียม, ปูนิฮอกไกโดหรือเนื้อวากิวที่มีมูลค่าสูง ซึ่งไทยมีพืชเกษตรกรสร้างรายได้ดี อาทิ ไผ่เศรษฐกิจ, กล้วยน้ำว้า, ปูทะเล และถ่านชีวภาพ โดยทั้งหมดเป็นโอกาสเศรษฐกิจฐานรากที่สร้างรายได้จริง
2.ยกระดับบริการ ใช้จุดแข็งร้านอาหาร-ท่องเที่ยวไทย โดยไทยมีร้านอาหารหนาแน่นติดอันดับโลก และติดอันดับสูงใน Michelin Guide หมวด “อร่อยราคาย่อมเยา” แต่ยังสู้สิงคโปร์ไม่ได้ในด้าน Michelin Star สะท้อนว่าระบบสนับสนุนภาครัฐยังไม่เข้มแข็ง
แนะไทยเร่งพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
ดังนั้น ไทยควรพัฒนาด้านการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ระบบ IT การสืบทอดกิจการ การทำแบรนด์ส่งออก ผลักดันร้านไทยไปต่างประเทศเหมือนสิงคโปร์ผลักดัน JUMBO Seafood vudmyh บริการควรปรับจาก non-tradable สู่ tradable เพื่อให้ส่งออกมากขึ้น
3.ผลักดันบริการสมัยใหม่ เช่น การออกแบบชิป เหมือนอินเดียที่เป็นผู้ออกแบบ 1 ใน 5 ของโลก ยกระดับบริการ IT Digital บริการวิชาชีพ Creative Economy ถือเป็นภาคที่มีต้นทุนย้ายข้ามพรมแดนต่ำ ไม่ถูกภาษีศุลกากรเหมือนสินค้าอุตสาหกรรม
4.ดึงอุตสาหกรรมถ่ายภาพยนตร์ ซีรีส์เป็นเครื่องยนต์ใหม่ โดยปี 2568 มีต่างชาติมาถ่ายทำในไทย 451 เรื่อง สร้างรายได้ 7,000 ล้านบาท ซึ่งหนังใหญ่หลายเรื่อง เช่น Jurassic Park หรือ Alien Earth ถ่ายทำในไทยจำนวนมากทำให้เม็ดเงินกระจายสู่แรงงานไทย รวมถึงอุตสาหกรรมนี้โตได้อีกมาก หากรัฐเพิ่มวงเงินส่งเสริมและจัดการระบบให้โปร่งใส
“ไทยต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ถ้าไม่อยากถูกทิ้งหลังอาเซียน โดยไทยต้องใช้แรงงานและทุนที่มีให้คุ้มค่า สร้างเครื่องยนต์ใหม่ในเกษตร-อุตสาหกรรม-บริการ ลดการพึ่งพาเครื่องยนต์ “การใช้จ่าย” เพิ่มผลิตภาพ สร้างงานดี เร่งการปรับตัวต่อโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ หากไม่เริ่มวันนี้ ไทยจะเสี่ยงกลายเป็นประเทศรายได้ต่ำกว่าเพื่อนบ้าน และถูกกลไกเศรษฐกิจโลกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ”
‘วิรไท’เตือนศก.ไทยติดหล่ม-กำลังดิ่งเหว
ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ ‘Reimagining Thailand’s Development Model : ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ’ ที่จัดขึ้นโดย TDRI ว่าจากการมองภาพเศรษฐกิจไทยของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะ “ติดหล่ม” หรืออาจจะกำลัง “ดิ่งเหว”
ส่วนท่านที่สองคือ นายดนุชา พิชยนันท์ ว่าที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มองว่าในความเป็นความก้าวหน้าของการพัฒนาของไทยได้หยุดชะงักมานานแล้ว ซึ่งปกติแล้ว เรามักจะไม่ค่อยได้ยินผู้บริหารระดับสูงที่กำหนดนโยบาย ยอมรับความจริงในลักษณะที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ดังนั้นความจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่ถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเกิดภาวะชะงักงัน ติดหล่ม หรือกำลังจะดิ่งเหว
ตัวชี้วัดไทย “ด้อยลง” แทบทุกด้าน
รวมทั้งหากดูตัวชี้วัดพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยเกือบทุกด้าน จะบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยด้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ในบางเรื่อง คะแนนดิบของตัวชี้วัดของเราเองก็ถดถอยลง โดยไม่จำเป็นต้องเทียบกับใครด้วยซ้ำตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มและชะงักงัน
ทั้งดูจากความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ คุณภาพการศึกษา ผลิตภาพของภาคเกษตร ประสิทธิภาพของระบบราชการ ฐานะการคลัง หนี้ครัวเรือนความเหลื่อมล้ำ การใช้อำนาจเหนือตลาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กฎหมายที่ล้าสมัย สถานการณ์คอร์รัปชันที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสีเทามากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากปัญหาที่สะสมมานานแล้ว ในอนาคต เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงขึ้นอีกมาก ทั้งจากผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มาตรการกีดกันทางการค้า สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ การขาดแคลนแรงงาน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด อาทิ AI Transformation การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ หรือสภาวะโลกปั่นป่วน
“ยิ่งเราติดหล่มหรือชะงักงันนานขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะดิ่งเหวลึกขึ้นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และการปีนขึ้นจากเหวก็จะยากขึ้นตามไปด้วย สาเหตุหลักคือทรัพยากรที่เรามีเหลือจะร่อยหรอลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับการลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวขึ้นจากเหว"
ในขณะที่โลกกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และปัจจัยฉุดรั้งและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะประสานพลังกันในลักษณะที่เป็นวงจรอุบาทว์ ซึ่งจะส่งผลกระทบซึ่งกันและกันเป็นลูกโซ่ ผลกระทบนี้จะฉุดให้สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยไหลลงได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ และเมื่อเทียบกับพัฒนาการของตัวเราเองในอดีต
สังคมขาดตระหนักรู้ความรุนแรงปัญหาสะสม
สำหรับสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยในวันนี้อยู่ในสภาวะติดหล่มหรือชะงักงัน มาทั้ง สังคมขาดการตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนอกประเทศ การเมืองที่มุ่งผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ การมุ่งเน้นนโยบายระยะสั้น ขาดความมุ่งมั่นทางการเมืองหรือวิสัยทัศน์ที่ยาว ที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้อำนาจเหนือตลาด ธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้อำนาจเหนือตลาด ในขณะที่การกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมก็ไม่เกิดขึ้นจริง การขาดหลักคิดนำทาง การขาดกลไกการปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพ ระบบจูงใจที่ไม่เหมาะสม บวกกับคอร์รัปชันที่ถูกปล่อยปละละเลยมานาน หน่วยงานภาครัฐที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่เปิดใจรับแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น หากเศรษฐกิจไทยต้องการหลุดออกจากภาวะติดหล่ม เราจะต้องออกแบบโมเดลใหม่ของการพัฒนา โดยต้องมีนโยบายอุตสาหกรรมใหม่นโยบายการค้าและการลงทุนใหม่ นโยบายด้านนวัตกรรมและการพัฒนาทักษะของคนไทยที่จะต้องเกิดผลลัพธ์ได้จริง บทบาทของภาครัฐใหม่ที่จะไม่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยชะงักงัน แต่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาที่สะสมมานานและความท้าทายหลากหลายด้านที่กำลังรออยู่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคิดเรื่องใหญ่และให้ความสำคัญกับโมเดลใหม่ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โมเดลการพัฒนาที่ได้รับการออกแบบใหม่นี้ ไม่สามารถทำเพียงแค่ต่อยอดจากโมเดลเดิม ๆที่คุ้นชินได้ แต่ต้องมองให้ไกลถึงความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต และมองถึงผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นในระยะยาว
การสร้างโมเดลใหม่นี้ จำเป็นต้องใส่เลนใหม่เพื่อมองหาวิธีการใหม่ ๆ แนวทางใหม่ ๆ ของการพัฒนา มุ่งหานวัตกรรมและเครื่องมือใหม่ รวมถึงระบบแรงจูงใจใหม่ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลได้จริง และท้ายที่สุด การดำเนินการจะต้องทำให้จริงโดยต้องร่วมกันสร้างเจตจำนงทางการเมืองให้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องอาศัยพลังการประสานงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เท่าทันกับความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมานานและความท้าทายใหม่ ๆ ที่จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1208072