1) สงครามการเงินโลก : จากผลการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 25 - 26 กันยายน ปี พ.ศ 2561 FOMC ปรับเพิ่ม Fed Fund Rate อีก 0.25% เป็น 2.25% และ มีการคาดการณ์ Fed Fund Rate และ GDP ของสหรัฐอเมริกาดังนี้ คือ :
ปี ค.ศ Fed Fund Rate ( % ) GDP ( % )
2018 ( ปรับอีก 1 ครั้ง ) 2.50% 3.1%
2019 ( ปรับ 3 ครั้ง ) 3.25% 2.5%
2020 ( ปรับ 1 ครั้ง ) 3.50% 2.0%
2021 ( ไม่ปรับ ) - 1.8%
2) สงครามการค้าโลก : การตั้งกําแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อจีนปรับขึ้นไปแล้ว 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกเป็นจํานวน 50,000 ล้าน USD ในครั้งที่ 3 ปรับขึ้นไปอีกจํานวน 200,000 ล้าน USD มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน ปี พ.ศ 2561เป็นต้นไปในอัตรา 10% และ เริ่มตั้งแต่ปีหน้าคือปี ค.ศ 2019 เป็นต้นไปในอัตรา 25% และในครั้งที่ 4 สหรัฐอเมริกามีแผนที่จะตั้งกําแพงภาษีต่อจีนอีกจํานวน 267,000 ล้าน USD ในปีหน้าคือปี ค.ศ 2019 โดยถ้าสหรัฐอเมริกาตั้งกําแพงภาษีต่อจีนเต็มทั้ง 4 ครั้งเป็นจํานวน 50,000 + 200,000 +267,000 = 517,000 ล้าน USD ( 102.25% ) ( จากตัวเลขนําเข้าของสหรัฐอเมริกาจากจีน 505,600 ล้าน USD ในปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 ) จะทําให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากถึง 3.5% ส่วนจีนก็ได้ตั้งกําแพงภาษีต่อสหรัฐอเมริกาแล้วจํานวน 110,000 ล้าน บาท ( 84.36% ) โดยถ้าจีนตั้งภาษีต่ออเมริกาเต็มจํานวนที่ 130,400 ล้าน USD ( ซึ่งเป็นตัาเลขนําเข้าของจีนจากสหรัฐอเมริกาในปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 ) จะทําให้เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวลง 1% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อมองในมุมนี้แล้ว จะเห็นว่าสหรัฐอเมริกายังมีกระสุนที่จะเล่นงานจีนอีกมาก แต่ในขณะเดียวกันกับที่จีนยังเหลือกระสุนที่จะตอบโต้กลับสหรัฐอเมริกาอยู่น้อยเต็มที ( ยกเว้นจีนจะยุลูกสมุนเก่าอย่างเกาหลีเหนือให้ล้มโต๊ะเจรจาเรื่องอาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังยากอยู่ นะคร๊าบ เพราะเกาหลีเหนือคงจะคิดว่าต่อไปในอนาคตน่าจะหวังพึ่งสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าลูกพี่เก่าอย่างจีนเป็นแน่แท้เลยทีเดียวน่ะ คร๊าบ! อันนี้พูดเล่นนะครับ! แฮะ! แฮะ! )
3) เศรษฐกิจจีนและสหรัฐอเมริกาในอนาคต : เดิมทีเดียวนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาใน ปี ค.ศ 2028 ( 10 ปีจากนี้ไป ) แต่เมื่อเกิดสงครามการเงินและการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ก็ได้คาดการณ์กันใหม่ว่าเศรษกิจจีนจะโตกว่าเศรฐกิจสหรัฐอเมริกาใน ปี ค.ศ 2040 ( 22 ปีจากนี้ไป ) ( อนึ่ง ปัจจุบัน GDP ของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 19.40 ล้านล้าน USD ต่อ ปี และ GDP ของจีนอยู่ที่ 12.01 ล้านล้าน USD ต่อ ปี โดยถ้ารวม GDP ของสหรัฐอเมริกาและจีนเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะกลายเป็น 40.44% ของ GDP ทั้งโลกที่ 77.67 ล้านล้าน USD ต่อ ปี )
4) การคาดการณ์เศรษฐกิจโลก สหรัฐอเมริกา จีน และไทยโดย IMF ล่าสุด ดังนี้ คือ :
ปี พ.ศ 2561 ปี พ. ศ 2562
4.1) โลก 3.7% 3.7%
4.2) สหรัฐอเมริกา 2.9% 2.5%
4.3) จีน 6.6% 6.2%
4.4) ไทย 4.6% 3.9%
5) สาเหตุที่ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา พุ่งเป็นจรวดประการแรก เป็นเพราะการว่างงานของสหรัฐในเดือน กันยายน ปี ค.ศ 2018 = 3.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ตํ่าที่สุดตั้งแต่ปี ค.ศ 1969 ( หรือ เป็นตัวเลขการว่างงานตํ่าที่สุดของสหรัฐอเมริกาในรอบ 49 ปี ) ส่วนเงินเฟ้อในเดือนกันยายน ปี ค.ศ 2018 ก็เข้าใกล้เงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% แล้ว
6) สาเหตูที่ เศรษฐกิจสหรัฐ พุ่งเป็นจรวดประการต่อมา คือ ความได้เปรียบของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอื่นๆ ในโลก ดังนี้ คือ :
6.1) มีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ( New Innovation )
6.2) มีนโยบายการปรับลดอัตราภาษี
6.3) มีการผ่อนคลายกฏระเบียบภาครัฐ
6.4) มีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน
7) และ สาเหตุของ เศรษฐกิจสหรัฐ พุ่งเป็นจรวดประการสุดท้าย คือ ความสามารถในการแข่งขันสหรัฐอเมริกามีความโดดเด่นเหนือกว่าจีน ยุโรป และญี่ปุ่น เพราะ :
7.1) จีนขาดการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ( New Innovation ) เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา จึงเน้นการลอกเลียนแบบจากสหรัฐอเมริกาผ่านการละเมิดลิขสิทธ์ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลัก และ เคยได้รับอานิสงค์จากนโยบาย China First, China Great Again หรือ Washington Consenses ของประธานธิบดีคนก่อนๆของสหรัฐอเมริกา และ ที่สําคัญคือโดนทั้งสงครามการเงินโลก และ สงครามการค้าโลกกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเมื่อเปรียบเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ และ การเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐอเมริกาน่าจะลดลงจากที่ปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 ที่จีนเกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกาอยู่ 505,600 - 130,400 = 375,200 ล้าน USD
7.2) วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ผ่านนโยบายประชานิยมในหลายรัฐบาลและหลายประเทศในยุโรป
7.3) การบริโภคภายในประเทศที่ทรงตัวของญี่ปุ่น เนื่องจากประชาชนชาวญี่ปุ่นมีนิสัยประหยัด อดออม และไม่ค่อยใช้จ่าย
และ จะเห็นได้จากตัวเลขแบบเป็นรูปธรรมในส่วนของคอมเม็นต์ที่ยืนยันการปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐอมเริกาที่มีความโดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นจีนและประเทศอื่นๆ หลังจากเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้วครั้งล่าสุดจนถึงปัจจุบัน
8) สภาวะของเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะพุ่งเป็นจรวดต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า แล้วสภาวะการพุ่งเป็นจรวดของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจึงจะสิ้นสุดลง ส่วนสงครามการค้าโลกและสงครามการค้าโลกก็น่าจะยุติลงในช่วงเวลาอีก 2-3 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกัน โดยสังเกตุจากตัวเลขดังนี้ คือ :
8.1) การขาดดุลการค้า ของสหรัฐต่อจีนลดลงอย่างมีนัยสําคัญในปี พ.ศ 2563 ( อาจจะเหลือเพียง 150,000 ล้าน USD ในปี พ.ศ 2563 จาก 505,600 ล้านล้าน USD ในปี พ.ศ 2560 )
8.2) Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดในขาขึ้นรอบใหญ่ในรอบนี้ในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 ( อาจจะปรับไปอยู่ที่ 4.25% ในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25% )
9) ส่วนประเทศไทยนั้น น่าจะได้อานิสงค์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทของรัฐบาล คสช. และ การย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนที่ไปลงทุนในประเทศจีนมายังประเทศไทยเนื่องจากผลของสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในอีก 2-3 ปีข่างหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีจุดด้อยตรงที่มักจะมีความขัดแย้งทางด้านการเมืองเกิดขึ้นอยู่เป็นประจําสมํ่าเสมอ ซึ่งมีผลทําให้นโยบายเศรษฐกิจมหภาคของรัฐบาลไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งตามสภาวะการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป และ เป็นผลอย่างยิ่งต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะขนเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เขาเรียกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ " บุญมีแต่กรรรมบัง " อะไรๆก็ดีไปหมดยกเว้นความขัดแย้งทางด้านการเมืองภายในประเทศเลยมีผลทําให้ตลาดหุ้นไทยตกตํ่าไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่เคยตํ่ากว่าตลาดหุ้นไทยเป็น 100 จุดเมื่อ 15 - 20 ปีที่แล้ว ( ตอนนั้นตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 350 จุดในขณะเดียวกันกับที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ที่ 250 จุด ) ปัจจุบันตลาดหุ้นอินโดนีเซียอยู่ที่ 5,756 จุดในขณะเดียวกันกับตลาดหุ้นไทยอยู่แค่ 1,696 จุด เท่านั้นเอง ซึ่งตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวขึ้นไปอยู่สูงกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 5,756 - 1,696 = 4,060 จุด ทั้งๆที่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและอินโดนีเซียไม่แตกต่างกันมาก ส่วนที่แตกต่างกันมากก็คือประเทศไทยมีความขัดแย้งทางด้านการเมืองมาตลอด 15 - 20 ปีที่ผ่านมา เท่านั้นเอง
สําหรับประเทศไทยในประการสุดท้ายนั้น เมื่อเร็วๆนี้ผู้โพสต์ได้ยินแว่วๆจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองไทยว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะโตได้ถึง 5.00% ซึ่งผู้โพสต์คิดว่าถ้าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 5.00% นั้น รัฐบาลไทยจะต้องเร่งผลักดันประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพราะ ถ้ามัวแต่พูดไปแบบเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ทําอะไรเลยซักที นอกจากจะไม่ได้ 5.00% แล้ว ประเทศไทยก็ยังมีโอกาส ตามหลังลาว, กัมพูชา และ พม่า ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเด้อ สิบอกไห่!
และท้ายที่สุดนี้ ผู้โพสต์ขอเรียนให้ท่านนักลงทุนที่สนใจได้รับทราบว่า " ข้อคิดเห็นบางส่วนข้างต้นเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์เอง และไม่สามารถรับประกันความถูกต้องได้ "
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก ( www.bloomberg.com ) และ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับวันที่ 14 - 17 ตุลาคม ปี พ.ศ 2561
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com