ห้องเม่าปีกเหล็ก

TU กำลังเจอแรงกดดัน

โดย ในหุบเขา
เผยแพร่ :
64 views

TU กำลังเจอแรงกดดันด้านต้นทุน แต่มีความหวังด้วยการนำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น

ธุรกิจอาหารกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักโดยเฉพาะในตลาดปลาทูน่ากระป๋อง ที่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของโลก  แม้ที่ผ่านมาจะมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ Covid-19 ทั่วโลกทำให้ความต้องการปลาทูน่า กลับมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็เจอความท้าทายอย่างหนักจากภาวะสงครามยูเครน และรัสเซีย ที่ผลักดันเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นทั่วโลก


กระทบกับต้นทุนของ TU อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ทำให้ผลงานในไตรมาสที่ 1 ของ TU นั้นออกทรงตัวจากปีก่อน โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิอยู่ที่  1,745.52 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน  แม้บริษัทจะทำรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ 36,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม  แต่ในครึ่งปีหลัง TU อาจเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งการปรับราคาขายที่เหมาะสม และการนำบริษัทลูกอย่าง บริษัท .ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC  เข้าตลาดหุ้นด้วย


โดยในรายงายไตรมาสที่ 1  TU เจอความท้าทายหนักๆ 2 เรื่อง คือ  ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น 28.9% หรือคิดเป็น 1,051 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 47 ล้านบาท นอกจากนี้ได้บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster ที่ 335 ล้านบาท  


ส่งผลให้ บริษัทได้ปรับเป้าหมายปี 65 ใหม่  วางเป้าเติบโต 4-5% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17-18% ลดลงจากเดิมที่ 18-18.5% วางงบลงทุนที่ 6 พันล้านบาท จากปัจจัยความท้ายในห่วงโซ่อุปทานยังคงอยู่ โดยราคาวัตถุดิบต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ส่วนผสมอาหาร น้ำและก๊าซ และอุปกรณ์อื่นๆ ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก



ราคาหุ้น
TU กำลังซึมซับข่าวร้าย        

เมื่อความท้าทายมีอยู่รอบด้านจึงส่งผลต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย มองว่า  ราคาหุ้นตอบสนองปัจจัยลบจากการดำเนินงานปี 65 ที่คาดจะอ่อนลง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยบวกที่เคยได้รับในช่วง COVID-19 คลี่คลายลง อีกทั้งได้รับผลจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และประเด็นการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นไปแล้วจนราคาหุ้นปัจจุบันกลับมาซื้อขายบน P/E ต่ากว่า 14 เท่าซึ่งมองว่าสะท้อนข่าวร้าย ๆ ไปแล้ว คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 21 บาท



คาดปี
2565 ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม

แม้ทางบริษัทจะมีปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพื่อสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าคงไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมดและยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการดำเนินงานให้หดตัวลง


อย่างไรก็ตาม จากเงินบาทที่อ่อนค่าและการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นทำให้ทางฝ่ายปรับยอดขายเพิ่มเป็น 150,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และคาดแนวโน้ม margin จะหดตัวลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดจะยังได้รับผลจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าใฃ้จ่ายยังอยู่ในระดับสูง และปรับการรับรู้ส่วนแบ่งการดำเนินงานจากบ. ร่วมเป็นขาดทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมจากผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นของ RL คาดกำไรสุทธิ 5,807 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน



Red Lobster ฟื้นตัวช้ากว่าคาด

แนวโน้มการดำเนินงานของ Red Lobster (RL) ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยปีนี้ผู้บริหารคาดว่าการดำเนินงานปกติจะขาดทุนราว 650 ลบ. และรวมผลขาดทุนการปรับปรุงบัญชีอีก 400 ล้านบาท ทำให้จะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,050 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าจาก 1) จำนวนคนเข้าร้านน้อยกว่าคาด 2) ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และ 3) ค่าแรงงานเพิ่มขึ้นจากจำนวนพนักงานที่กลับมาทำงานปกติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันต่อการดำเนินงานของ TU



บริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น คือ ความหวัง

สำหรับแผนการนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ คาดจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งข้อมูลล่าสุด ทาง ITC จะเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ภายใต้โครงการ ESOP และ IPO รวม 600 ล้านหุ้น และ TU จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่ถืออยู่ใน ITC 60 ล้านหุ้นออกมาด้วย


รวมถึงจะมีการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ TU ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Rights) ไม่เกิน 20% ของหุ้นที่เสนอขาย IPO โดยหลังเสนอขายแล้วเสร็จ TU จะยังถือหุ้น ITC ที่ 77.64% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด


บล.บัวหลวง แรงกดดันเงินเฟ้อจะเบาลงในครึ่งปีหลัง แม้ว่าเราจะคาดกำไรหลักในไตรมาส 2 ที่ 1.75 พันล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เกิดจากอัตรากำไรขั้นต้น (GM) ลดลงเช่นกัน  ตามแรงกดดันเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่เราก็เห็นสัญญาณเชิงบวกบางประการจากต้นทุนทูน่าที่ปรับตัวลง 11% จากเดือนก่อน ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (รวมทั้งค่าขนส่งที่เริ่มเป็นขาลง)


ขณะที่การปรับราคาปกติจะมี lag time ประมาณ 3-6 เดือนสำหรับสินค้ากลุ่ม branded และ 1-2 เดือน สำหรับ OEM ทำให้เราประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้ม GM จะปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะจากสินค้ากลุ่ม Branded และกำไรหลักกลับมาเติบโต YoY นอกจากนี้ ยังมีประเด็นขับเคลื่อนราคาหุ้นจากการนำ บ.ย่อย ITC เข้าตลาดฯ ช่วงครึ่งปีหลังด้วย ด้วย


ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 23.5 บาท

 

 


ในหุบเขา