TU กำลังเจอแรงกดดันด้านต้นทุน แต่มีความหวังด้วยการนำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น
ธุรกิจอาหารกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักโดยเฉพาะในตลาดปลาทูน่ากระป๋อง ที่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของโลก แม้ที่ผ่านมาจะมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ Covid-19 ทั่วโลกทำให้ความต้องการปลาทูน่า กลับมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็เจอความท้าทายอย่างหนักจากภาวะสงครามยูเครน และรัสเซีย ที่ผลักดันเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นทั่วโลก
กระทบกับต้นทุนของ TU อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ผลงานในไตรมาสที่ 1 ของ TU นั้นออกทรงตัวจากปีก่อน โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,745.52 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน แม้บริษัทจะทำรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ 36,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม แต่ในครึ่งปีหลัง TU อาจเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งการปรับราคาขายที่เหมาะสม และการนำบริษัทลูกอย่าง บริษัท .ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เข้าตลาดหุ้นด้วย
โดยในรายงายไตรมาสที่ 1 TU เจอความท้าทายหนักๆ 2 เรื่อง คือ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น 28.9% หรือคิดเป็น 1,051 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 47 ล้านบาท นอกจากนี้ได้บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster ที่ 335 ล้านบาท
ส่งผลให้ บริษัทได้ปรับเป้าหมายปี 65 ใหม่ วางเป้าเติบโต 4-5% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17-18% ลดลงจากเดิมที่ 18-18.5% วางงบลงทุนที่ 6 พันล้านบาท จากปัจจัยความท้ายในห่วงโซ่อุปทานยังคงอยู่ โดยราคาวัตถุดิบต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ส่วนผสมอาหาร น้ำและก๊าซ และอุปกรณ์อื่นๆ ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ราคาหุ้น TU กำลังซึมซับข่าวร้าย
เมื่อความท้าทายมีอยู่รอบด้านจึงส่งผลต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย มองว่า ราคาหุ้นตอบสนองปัจจัยลบจากการดำเนินงานปี 65 ที่คาดจะอ่อนลง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยบวกที่เคยได้รับในช่วง COVID-19 คลี่คลายลง อีกทั้งได้รับผลจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และประเด็นการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นไปแล้วจนราคาหุ้นปัจจุบันกลับมาซื้อขายบน P/E ต่ากว่า 14 เท่าซึ่งมองว่าสะท้อนข่าวร้าย ๆ ไปแล้ว คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 21 บาท
คาดปี 2565 ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม
แม้ทางบริษัทจะมีปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพื่อสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าคงไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมดและยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการดำเนินงานให้หดตัวลง
อย่างไรก็ตาม จากเงินบาทที่อ่อนค่าและการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นทำให้ทางฝ่ายปรับยอดขายเพิ่มเป็น 150,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดแนวโน้ม margin จะหดตัวลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดจะยังได้รับผลจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าใฃ้จ่ายยังอยู่ในระดับสูง และปรับการรับรู้ส่วนแบ่งการดำเนินงานจากบ. ร่วมเป็นขาดทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมจากผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นของ RL คาดกำไรสุทธิ 5,807 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
Red Lobster ฟื้นตัวช้ากว่าคาด
แนวโน้มการดำเนินงานของ Red Lobster (RL) ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยปีนี้ผู้บริหารคาดว่าการดำเนินงานปกติจะขาดทุนราว 650 ลบ. และรวมผลขาดทุนการปรับปรุงบัญชีอีก 400 ล้านบาท ทำให้จะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,050 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าจาก 1) จำนวนคนเข้าร้านน้อยกว่าคาด 2) ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และ 3) ค่าแรงงานเพิ่มขึ้นจากจำนวนพนักงานที่กลับมาทำงานปกติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันต่อการดำเนินงานของ TU
บริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น คือ ความหวัง
สำหรับแผนการนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ คาดจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งข้อมูลล่าสุด ทาง ITC จะเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ภายใต้โครงการ ESOP และ IPO รวม 600 ล้านหุ้น และ TU จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่ถืออยู่ใน ITC 60 ล้านหุ้นออกมาด้วย
รวมถึงจะมีการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ TU ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Rights) ไม่เกิน 20% ของหุ้นที่เสนอขาย IPO โดยหลังเสนอขายแล้วเสร็จ TU จะยังถือหุ้น ITC ที่ 77.64% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
บล.บัวหลวง แรงกดดันเงินเฟ้อจะเบาลงในครึ่งปีหลัง แม้ว่าเราจะคาดกำไรหลักในไตรมาส 2 ที่ 1.75 พันล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เกิดจากอัตรากำไรขั้นต้น (GM) ลดลงเช่นกัน ตามแรงกดดันเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่เราก็เห็นสัญญาณเชิงบวกบางประการจากต้นทุนทูน่าที่ปรับตัวลง 11% จากเดือนก่อน ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (รวมทั้งค่าขนส่งที่เริ่มเป็นขาลง)
ขณะที่การปรับราคาปกติจะมี lag time ประมาณ 3-6 เดือนสำหรับสินค้ากลุ่ม branded และ 1-2 เดือน สำหรับ OEM ทำให้เราประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้ม GM จะปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะจากสินค้ากลุ่ม Branded และกำไรหลักกลับมาเติบโต YoY นอกจากนี้ ยังมีประเด็นขับเคลื่อนราคาหุ้นจากการนำ บ.ย่อย ITC เข้าตลาดฯ ช่วงครึ่งปีหลังด้วย ด้วย
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 23.5 บาท