ห้องเม่าปีกเหล็ก

แบงก์พาณิชย์ไทย “กำไร” กำลังหายไป

โดย dave
เผยแพร่ :
64 views

แบงก์พาณิชย์ไทย “กำไร” กำลังหายไป

 

ผลการศึกษา “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ชี้ว่าความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารไทยส่อแววลดลง ในภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ  ขณะที่การแข่งขันมีทั้งจากคู่แข่งเดิม  และ FinTech หน้าใหม่

“โรแลนด์ เบอร์เกอร์ (Roland Berger)” บริษัทที่ปรึกษาการจัดการจากเยอรมนี เพิ่งจะเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับภาคธนาคารไทย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบรรดา แบงก์พาณิชย์ ในประเทศไทย กำลังเผชิญปัญหาการทำกำไรที่ลดลง

 

โรแลนด์ เบอร์เกอร์ ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารในประเทศไทยกำลังเจอปัญหาเรื่องโครงสร้างของตลาด  ที่การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นทุกๆ ขณะ  ทั้งจากแบงก์พาณิชย์ด้วยกันเอง  ทั้งการแข่งขันด้านบริการ  การหั่นค่าธรรมเนียมบางประเภท จนทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมหายไปบางส่วน  ขณะที่แนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL กลับมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

>> ผลดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ ปี 2562

ในขณะเดียวกันยังมีคู่แข่งจากบรรดา FinTech ที่เกิดขึ้นและเข้ามาทดแทนสิ่งที่แบงก์  ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในอดีต

โดยหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยในครั้งนี้ ดร.อุดมเกียรติ บุญวรเศรษฐ์ ระบุว่า

“ในช่วงเวลาอีกไม่กี่ปี ธนาคารต่าง ๆ มีความเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ให้กับดิจิทัลดิสรัปชันและคู่แข่งหน้าใหม่น้อยกว่าที่จะสูญเสียกำไรและรายได้เนื่องจากการปรับรูปแบบการดำเนินงานที่ไม่เพียงพอ และการปรับโครงสร้างต้นทุนที่ไม่เพียงพอ ผลกำไรที่ปรับตัวลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในการปรับโครงสร้างต้นทุนเพิ่มเติมในภาคธนาคาร”

 

 

แบงก์พาณิชย์ จะแข่งขันได้อย่างไร

ในงานวิจัยของ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า ธนาคารพาณิชย์ในไทย  จะได้รับแรงกดดันอย่างหนักเพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ยปัจจุบันที่ 8% ให้อยู่ในระดับเดียวกับอัตราผลตอบแทนของปีก่อนหน้า เนื่องจากผลกำไรของภาคธนาคารทั้งหมดเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ ROE เฉลี่ยที่ 6.6% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

โดยสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มความสามารถในการทำกำไรได้  ดร.บุญวรเศรษฐ์ แนะนำว่า บรรดาธนาคารพาณิชย์  ควรจะเริ่มใช้มาตรการควบคุมต้นทุนระยะสั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้าในระหว่างที่ได้ประเมินการลงทุนด้านดิจิทัลครั้งใหม่

แบงก์ โตลดลงตั้งแต่ปี 2556

นับตั้งแต่ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา  เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง  จนเข้าสู่การปรับโครงสร้างใหม่  ในขณะที่สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในไทยก็มีอัตราการเติบโตถึงปีละ 8%

แต่หลังจากปี 2556 การเติบโตของภาคธนาคารก็ชะลอตัวลง  เหลือเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.7% และนี่คือตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ แบงก์พาณิชย์ ในไทยหลายแห่ง  เริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่  เพื่อรักษาการเติบโตให้อยู่ระดับสูง

การปรับเปลี่ยนที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล ทั้งการใช้หุ่นยนต์เข้าทำงานในส่วนของการแนะนำการใช้บริการ  การตอบโต้ลูกค้า  การพัฒนาระบบ Mobile Banking  การปรับมาใช้ระบบคลาวด์  จนถึงการใช้ระบบ AI มาประเมินการปล่อยกู้

แต่การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่  นอกจากประสิทธิภาพในการทำงาน  และรักษาระดับการแข่งแล้ว  ยังมีภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นก้อนใหญ่  ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารต่างๆ ต้องแบกรับไปอีกหลายปี  ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงคืนทุน

“ฟิลิปป์ แชสแซท” ผู้ร่วมวิจัยกับ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า  “ในทางปฏิบัติ การปรับต้นทุนโครงสร้างเป็นสิ่งที่จำเป็นในระยะสั้น เนื่องจากธนาคารอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การดำเนินการสามารถชดเชยได้ แต่ไม่ควรจะหยุดลงทั้งหมด ธนาคารต่าง ๆ ยังต้องผ่านสิ่งที่เรียกว่า “หุบเขาที่ไม่มีวันย้อนกลับไป” จนกว่าการลงทุนทางดิจิทัลจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งครั้งนี้อาจเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าที่คาด”

ภาระลดต้นทุน ที่แบงก์ต้องลดให้ได้อีกกว่า 1 แสนล้าน

จากการศึกษาของ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า ธนาคารไทย จำเป็นต้องลดต้นทุนลงประมาณ 1-1.8 แสนล้านบาท (ประมาณ 3.3-6 พันล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือกับ ROE ที่ปรับตัวลดลง

โดยแนะนำวิธีการ 3 แบบที่ได้รับการพิสูจน์จากธนาคารหลายแห่งแล้วว่าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง ได้แก่ การจัดงบประมาณแบบเริ่มต้นจากศูนย์ (AZBB) การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นเลิศ และการประหยัดด้านไอที

แบงก์พาณิชย์ ของไทย ยังต้องทำงานอีกมากกว่าที่จะเปลี่ยนผ่านและปรับสู่โครงสร้างใหม่ของตลาด พร้อมเสนอว่าธนาคารควรจะใช้มาตรการเชิงรุกในขณะนี้ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมและได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในครั้งต่อไป และอาศัยโอกาสจากมุมมองการเติบโตระยะกลางและยาวที่เป็นบวกของภาคธนาคารในภูมิภาค

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave