แบงก์พาณิชย์ไทย “กำไร” กำลังหายไป
ผลการศึกษา “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ชี้ว่าความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารไทยส่อแววลดลง ในภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ ขณะที่การแข่งขันมีทั้งจากคู่แข่งเดิม และ FinTech หน้าใหม่
“โรแลนด์ เบอร์เกอร์ (Roland Berger)” บริษัทที่ปรึกษาการจัดการจากเยอรมนี เพิ่งจะเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับภาคธนาคารไทย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบรรดา แบงก์พาณิชย์ ในประเทศไทย กำลังเผชิญปัญหาการทำกำไรที่ลดลง
โรแลนด์ เบอร์เกอร์ ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารในประเทศไทยกำลังเจอปัญหาเรื่องโครงสร้างของตลาด ที่การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นทุกๆ ขณะ ทั้งจากแบงก์พาณิชย์ด้วยกันเอง ทั้งการแข่งขันด้านบริการ การหั่นค่าธรรมเนียมบางประเภท จนทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมหายไปบางส่วน ขณะที่แนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL กลับมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
>> ผลดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ ปี 2562
ในขณะเดียวกันยังมีคู่แข่งจากบรรดา FinTech ที่เกิดขึ้นและเข้ามาทดแทนสิ่งที่แบงก์ ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในอดีต
โดยหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยในครั้งนี้ ดร.อุดมเกียรติ บุญวรเศรษฐ์ ระบุว่า
“ในช่วงเวลาอีกไม่กี่ปี ธนาคารต่าง ๆ มีความเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ให้กับดิจิทัลดิสรัปชันและคู่แข่งหน้าใหม่น้อยกว่าที่จะสูญเสียกำไรและรายได้เนื่องจากการปรับรูปแบบการดำเนินงานที่ไม่เพียงพอ และการปรับโครงสร้างต้นทุนที่ไม่เพียงพอ ผลกำไรที่ปรับตัวลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในการปรับโครงสร้างต้นทุนเพิ่มเติมในภาคธนาคาร”
แบงก์พาณิชย์ จะแข่งขันได้อย่างไร
ในงานวิจัยของ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า ธนาคารพาณิชย์ในไทย จะได้รับแรงกดดันอย่างหนักเพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ยปัจจุบันที่ 8% ให้อยู่ในระดับเดียวกับอัตราผลตอบแทนของปีก่อนหน้า เนื่องจากผลกำไรของภาคธนาคารทั้งหมดเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ ROE เฉลี่ยที่ 6.6% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
โดยสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มความสามารถในการทำกำไรได้ ดร.บุญวรเศรษฐ์ แนะนำว่า บรรดาธนาคารพาณิชย์ ควรจะเริ่มใช้มาตรการควบคุมต้นทุนระยะสั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้าในระหว่างที่ได้ประเมินการลงทุนด้านดิจิทัลครั้งใหม่
แบงก์ โตลดลงตั้งแต่ปี 2556
นับตั้งแต่ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่การปรับโครงสร้างใหม่ ในขณะที่สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในไทยก็มีอัตราการเติบโตถึงปีละ 8%
แต่หลังจากปี 2556 การเติบโตของภาคธนาคารก็ชะลอตัวลง เหลือเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.7% และนี่คือตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ แบงก์พาณิชย์ ในไทยหลายแห่ง เริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ เพื่อรักษาการเติบโตให้อยู่ระดับสูง
การปรับเปลี่ยนที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล ทั้งการใช้หุ่นยนต์เข้าทำงานในส่วนของการแนะนำการใช้บริการ การตอบโต้ลูกค้า การพัฒนาระบบ Mobile Banking การปรับมาใช้ระบบคลาวด์ จนถึงการใช้ระบบ AI มาประเมินการปล่อยกู้
แต่การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ นอกจากประสิทธิภาพในการทำงาน และรักษาระดับการแข่งแล้ว ยังมีภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารต่างๆ ต้องแบกรับไปอีกหลายปี ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงคืนทุน
“ฟิลิปป์ แชสแซท” ผู้ร่วมวิจัยกับ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า “ในทางปฏิบัติ การปรับต้นทุนโครงสร้างเป็นสิ่งที่จำเป็นในระยะสั้น เนื่องจากธนาคารอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การดำเนินการสามารถชดเชยได้ แต่ไม่ควรจะหยุดลงทั้งหมด ธนาคารต่าง ๆ ยังต้องผ่านสิ่งที่เรียกว่า “หุบเขาที่ไม่มีวันย้อนกลับไป” จนกว่าการลงทุนทางดิจิทัลจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งครั้งนี้อาจเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าที่คาด”
ภาระลดต้นทุน ที่แบงก์ต้องลดให้ได้อีกกว่า 1 แสนล้าน
จากการศึกษาของ “โรแลนด์ เบอร์เกอร์” ประเมินว่า ธนาคารไทย จำเป็นต้องลดต้นทุนลงประมาณ 1-1.8 แสนล้านบาท (ประมาณ 3.3-6 พันล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือกับ ROE ที่ปรับตัวลดลง
โดยแนะนำวิธีการ 3 แบบที่ได้รับการพิสูจน์จากธนาคารหลายแห่งแล้วว่าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง ได้แก่ การจัดงบประมาณแบบเริ่มต้นจากศูนย์ (AZBB) การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นเลิศ และการประหยัดด้านไอที
แบงก์พาณิชย์ ของไทย ยังต้องทำงานอีกมากกว่าที่จะเปลี่ยนผ่านและปรับสู่โครงสร้างใหม่ของตลาด พร้อมเสนอว่าธนาคารควรจะใช้มาตรการเชิงรุกในขณะนี้ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมและได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในครั้งต่อไป และอาศัยโอกาสจากมุมมองการเติบโตระยะกลางและยาวที่เป็นบวกของภาคธนาคารในภูมิภาค
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก