ปัญหาการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market)
Credit : คุณหลิน วีระพงษ์ ธัม
ที่มาบทความ : Seminar knowledge by Amorn
------------------------------------
ผมนั่งวีดีโอของลงทุนแมนเมื่อคืน (ดีมาก ๆ ครับ) ที่เอาบทวิเคราะห์ของ KKP มาพูด ประจวบกับ Economist ฉบับล่าสุด พูดถึงประวัติการพัฒนาทางเศรษฐกิจของ "Emerging Market" (EM) นับตั้งแต่คำศัพท์นี้ถูกนิยามโดย World Bank เมื่อปี 1981 ในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่าน ก็เลยอยากจะเพิ่มเติมบางอย่าง
.
ที่ผ่านมาถือว่าเป็นยุคทองของ EM ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น และ EM ส่วนใหญ่นั้นมีอัตราเติบโตของ GDP เร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่าตัว
.
จนมีการคาดคะเนว่าในอนาคต ประเทศ EM เหล่านี้จะก้าวขึ้นมาเป็น "ประเทศพัฒนาแล้ว" ในท้ายที่สุด
.
และแน่นอนว่า ประเทศไทยก็อยู่ในสมการนี้ด้วย
.
เหตุผลหลัก ๆ ที่ประเทศกำลังพัฒนาเติบโตอย่างโดดเด่น คือ อัตราดอกเบี้ยโลกที่เป็นเทรนด์ขาลงจน Risk/Reward "คุ้มเสี่ยง" ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดูเหมือนเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศเหล่านี้เติบโตอย่างโดดเด่น และเหนือสิ่งอื่นใดคือการเติบโตอย่างมหาศาลของ "การค้าโลก"
.
เราจึงเห็นโมเดลการเปิดโรงงานทั่วโลก ค่าแรงพื้นฐานสูงขึ้น ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามลำดับ
.
แต่ดูเหมือน ทุก ๆ ทศวรรษที่ผ่านไปตั้งแต่ 1980 ก็มีประเทศที่ "ติดหล่ม" มากขึ้นเรื่อย ๆ หล่มจะลึกจะตื้นก็แล้วแต่พื้นฐานประเทศ ปัจจุบันมีประเทศที่หยิบมือเดียวที่ GDP/หัว ยังคงเติบโตได้ดีอยู่ หรือกลายเป็นเศรษฐกิจพัฒนาได้แล้ว (เช่น เกาหลีใต้ , จีนไต้หวัน, สิงค์โปร์)
.
เหตุผลอะไรที่ทำให้ประเทศ EM เกือบทั้งหมดไปไม่ถึงฝั่งฝัน มีการวิเคราะห์อย่างหลากหลาย ซึ่งก็วนเวียนอยู่ในปัญหาพื้นฐานที่ทุกคนรู้แต่แก้ไม่ตก เช่น "การเมือง" "วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี" และ "การศึกษา" ซึ่ง EM ล้วนแต่จำเป็นต้องได้รับการ "ปฏิรูป"
.
นอกไปจากนั้นอนาคตดูเหมือนจะยากยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาในปัจจุบัน "เลือก" ที่จะ"ซื้อ" แทนที่จะ "พยายาม" ผลิตเอง ในเมื่อสินค้าจีนมีความได้เปรียบในการผลิตสูง แรงจูงใจที่จะผลิตสินค้า พัฒนาสายการผลิตของประเทศกำลังพัฒนาก็ยิ่งน้อยลงอีก การลงทุนจึงชะลอตัว
.
อัตราส่วนการส่งออกจีนต่อการส่งออกโลกไม่ลดลงเลย แม้ว่าในบางผลิตภัณฑ์เช่นรองเท้าใน 20 ปีที่ผ่านจะลดลงบ้างจาก 40% เหลือ 32.5% ของโลก แต่นี่ก็เพียงพอที่จะเอื้อประโยชน์ให้รองเท้ากลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของเวียดนามได้ในช่วงหนึ่งทันที จีนผลิตเก่งเกินกว่าจะแบ่งให้คนอื่นได้ง่าย ๆ นอกจากนั้นประเทศพัฒนาแล้ว มีทางเลือกใหม่ที่จะเอาสินค้ากลับไปผลิตเอง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ชื่อว่า Robotic & AI
.
New Economy ในโลกยุคใหม่ก็ตกอยู่ในมือของประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศกำลังพัฒนา กลายเป็นผู้รับใช้ และได้ประโยชน์น้อยลงกว่าโลกยุคเดิมอีก
.
ที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาโลกหลังจากโควิด 19 ยิ่งทำให้ประเทศกำลังพัฒนามีหล่มที่ลึกขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหา tricker point อีกอย่างหนึ่งคล้าย ๆ กับโลกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คือการย้ายของทรัพยากรมนุษย์ (aka ย้ายประเทศ) ที่จะทำให้ "ประเทศพัฒนาแล้ว" ได้เปรียบประเทศกำลังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไป
.
ในภาพใหญ่ดูเหมือนยุคทองของโลกกำลังพัฒนาใน Playbook เก่า ๆ นั้นกำลังจะหมดไป นอกเหนือว่าบางประเทศเหล่านั้นจะปรับตัวหนีออกจากกลียุคที่กำลังจะเข้ามาถึง หรือ หาจุดแข็งของประเทศบนโลกใบนี้ให้เจอ
.
เส้นทางแก้ไขนั้นอีกยาวไกล แต่หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่วัคซีนเข็มแรกเสมอ
.
ปล. Economist ไม่ได้กล่าวไว้ ผมกล่าวเอง 555555