นักเศรษฐศาสตร์คาด “เฟด” ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม 25-26 ก.ค. สู่ระดับ 5.25-5.5%
นักเศรษฐศาสตร์คาด “เฟด” ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม 25-26 ก.ค. สู่ระดับ 5.25-5.5% สูงสุดรอบ 22 ปี พร้อมคาดการณ์ปรับลดครั้งแรก มี.ค.2567
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตามการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์โดย Bloomberg คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2566 สู่ระดับ 5.25% ถึง 5.5% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 เนื่องจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อลดลงในเดือนที่แล้ว
นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมดคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน และมีเพียง 1 ใน 5 ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำการสำรวจที่คาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือนพฤศจิกายน
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และคณะกรรมการ FOMC ได้ส่งสัญญาณถึงแผนการที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากหยุดชั่วคราวในเดือนมิถุนายน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าใกล้ระดับที่เชื่อว่าจะจำกัดเพียงพอที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย 2% ขณะที่ประมาณการค่ามัธยฐานของ FOMC ในสรุปประมาณการเศรษฐกิจประจำไตรมาสในเดือนมิถุนายน แสดงให้เห็นว่าคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2566
ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดจนถึงสิ้นปี 2566 เมื่อถามถึงว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะมาในเดือนมกราคม 2567 หรือไม่ นักเศรษฐกิจมากกว่า 1 ใน 4 เห็นการปรับลด ขณะที่ส่วนใหญ่เห็นการปรับลดครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2567 โดยอัตราจะลดลงเหลือ 4.75% ภายในเดือนมิถุนายน 2567 และสิ้นสุดปี 2567 ที่ 4.25%
James Knightley หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของ ING Financial Markets LLC กล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเราคาดหมายกันมานานนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้”
อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ค่อย ๆ มีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โดย 58% คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจาก 63% ในการสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนและ 67% ในเดือนเมษายน เนื่องจากการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.6% ประกอบกับดัชนีราคาผู้บริโภคที่ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมีมุมมองที่ดีขึ้น