อวสานทองคำ Cathie Wood ชี้ชัด ถึงเวลา “ล่มสลาย” แล้ว | คนดอยทองต้องอ่าน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ "ทองคำ" มักจะเป็นคำแรกๆ ที่นึกถึงเมื่อพูดถึง "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) เรามักได้ยินเสมอว่าในยามที่โลกผันผวน เงินเฟ้อสูง หรือเกิดสงคราม ทองคำคือหลุมหลบภัยที่แท้จริง
แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าหนึ่งในนักลงทุนหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง Cathie Wood จาก ARK Invest กำลังส่งสัญญาณที่ตรงกันข้าม?
ในบทวิเคราะห์ล่าสุดของเธอ Cathie Wood ไม่ได้มองราคาทองคำแบบผิวเผิน แต่เธอกำลังชี้ไปที่ "สัญญาณประวัติศาสตร์" ที่สำคัญมาก ซึ่งอาจบ่งบอกว่ายุคทองของทองคำในรอบนี้กำลังจะสิ้นสุดลง และที่สำคัญกว่านั้น มันอาจเป็นสัญญาณ "ซื้อ" ครั้งใหญ่สำหรับสินทรัพย์อื่นแทน
บทความนี้จะเจาะลึกมุมมองของเธอแบบละเอียด เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่ได้เข้าใจตรรกะเบื้องหลังความคิดที่ท้าทายนี้

กราฟสำคัญที่ต้องจับตา: "มูลค่าทองคำ" เทียบกับ "ปริมาณเงิน"
หัวใจสำคัญในบทวิเคราะห์ของ Cathie Wood ไม่ใช่การดูราคาทองคำที่วิ่งขึ้นลงรายวัน แต่คือการดูกราฟที่ "ยั่วยุ" (provocative) ซึ่งเปรียบเทียบ มูลค่าตลาดรวมของทองคำ (Gold Market Cap) กับ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (M2 Money Supply)
มูลค่าตลาดทองคำ คือ มูลค่าของทองคำทั้งหมดที่มีในโลก
M2 Money Supply คือ ปริมาณเงินทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเงินฝากและสินทรัพย์สภาพคล่องสูง
ให้ลองจินตนาการว่านี่คือการ "ชั่งน้ำหนัก" ความเชื่อมั่นของผู้คนระหว่าง "ทองคำ" กับ "เงินดอลลาร์ (หรือเงินกระดาษ)"
สิ่งที่ Cathie Wood ค้นพบคือ ในปัจจุบัน อัตราส่วนนี้ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ "สูงสุด" อย่างมีนัยสำคัญ และความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
สัญญาณประวัติศาสตร์ครั้งที่ 1: ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) 1930s
ในยุค 1930s โลกเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผู้คนสิ้นหวัง ภาวะเงินฝืดรุนแรง (ของไม่มีราคา) และปริมาณเงินในระบบหดตัวอย่างน่ากลัว ในขณะที่ราคาทองคำถูกตรึงไว้
ณ จุดนั้นเอง ที่อัตราส่วนมูลค่าทองคำเทียบกับ M2 พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นครั้งแรก เพราะความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและค่าเงินพังทลายลง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออะไร?
หลังจากที่อัตราส่วนนี้แตะจุดสูงสุดและเริ่มลดระดับลง มันคือจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของตลาดหุ้น เมื่อความกลัวคลายลง เงินก็เริ่มไหลออกจากทองคำกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง นี่คือสัญญาณว่าวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
สัญญาณประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2: ยุคเงินเฟ้อครั้งใหญ่ (Great Inflation) 1980s
ข้ามมาที่ช่วงปลาย 1970s ถึงต้น 1980s โลกเจอกับปัญหาตรงกันข้าม นั่นคือ "เงินเฟ้อ" ที่พุ่งทะยานจนควบคุมไม่อยู่ (Stagflation) ค่าของเงินกระดาษลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนจึงแห่กันไปซื้อทองคำเพื่อ "หนีตาย" จากเงินเฟ้อ
ณ จุดนี้เอง อัตราส่วนมูลค่าทองคำเทียบกับ M2 ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออะไร?
มันคือจุดสิ้นสุดของยุคเงินเฟ้อ และเป็นจุดเริ่มต้นของ "ยุคทอง" (Golden Era) ของตลาดหุ้นและพันธบัตรที่ยาวนานเกือบ 20 ปี (ยุค 80s และ 90s) เมื่อเงินเฟ้อถูกควบคุมได้ ทองคำก็หมดความน่าสนใจ และเงินทุนมหาศาลก็ไหลกลับเข้าสู่ตลาดการเงินอีกครั้ง
ปัจจุบัน: เรากำลังอยู่ที่จุดสูงสุดครั้งที่ 3 หรือไม่?
Cathie Wood กำลังบอกว่า "และในตอนนี้ เราอยู่ที่จุดนั้นอีกครั้ง" โดยเธอกล่าวว่า มูลค่าตลาดของทองคำในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่แตะระดับ M2 เท่านั้น แต่ยัง "ทะลุผ่าน" ขึ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายคลึงกับจุดสูงสุดในปี 1981 อย่างมาก
เธอวิเคราะห์ว่า ปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาทองคำในรอบล่าสุดนี้ ไม่ใช่ภาวะเงินเฟ้อแบบในยุค 70s แต่เป็น "ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์" (Geopolitical Risk) ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือความตึงเครียดกับจีน สิ่งเหล่านี้คือ "ความกลัว" ที่ผลักดันให้ผู้คนและแม้แต่ธนาคารกลางบางแห่งหนีเข้าหาทองคำ
ข้อสรุปของเธอจึงชัดเจนมาก "ฉันจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเรากำลังเห็นจุดสูงสุด (peaking) ของทองคำเมื่อเทียบกับ M2 ในตอนนี้"
ทำไมนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่?
หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และมุมมองของ Cathie Wood ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่นักลงทุนใหม่ต้องทำความเข้าใจค่ะ
ทองคำอาจไม่ใช่ขาขึ้นอีกต่อไป: นี่ไม่ได้หมายความว่าราคาทองคำจะถล่มทลายในวันพรุ่งนี้ แต่หมายความว่า "อัพไซด์" หรือโอกาสทำกำไรเมื่อเทียบกับความเสี่ยง อาจจะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
มันคือสัญญาณ "ซื้อ" สินทรัพย์อื่น: นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด สัญญาณนี้ในประวัติศาสตร์ 2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่สัญญาณ "ขาย" ทองคำ แต่มันคือสัญญาณ "ซื้อ" ตลาดหุ้นอย่างรุนแรง มันบอกว่า "ช่วงเวลาแห่งความกลัว" กำลังจะจบลง และ "ช่วงเวลาแห่งการเติบโต" กำลังจะเริ่มต้น
หุ้น (S&P 500) อาจจะกลับมาชนะทองคำ: เธอมองว่า หลังจากนี้ ตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับนวัตกรรม จะกลับมาทำผลงานได้ดีกว่าทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
โลกกำลังจะเปลี่ยนไปสู่ "เงินฝืด" ไม่ใช่ "เงินเฟ้อ": นี่คือมุมมองหลักของ ARK Invest ที่ต่างจากคนอื่น เธอไม่เชื่อว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงแบบยุค 70s แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีอย่าง AI, Robotics และ Blockchain กำลังสร้าง "ภาวะเงินฝืดที่ดี" (Good Deflation) คือทำให้สินค้าและบริการถูกลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในโลกที่กำลังจะเกิด "เงินฝืด" จากเทคโนโลยี เหตุผลดั้งเดิมในการถือทองคำเพื่อ "หนีเงินเฟ้อ" ก็จะหมดความสำคัญลงไปโดยสิ้นเชิง
บทสรุป
มุมมองของ Cathie Wood ต่อทองคำนั้นท้าทายความเชื่อดั้งเดิมอย่างมาก เธอกำลังบอกเราว่า อย่ามองทองคำเป็นแค่ "สินทรัพย์ปลอดภัย" ที่ต้องถือติดพอร์ตตลอดไป แต่มองมันในฐานะ "ดัชนีชี้วัดความกลัว" ของตลาด
และในตอนนี้ ดูเหมือนว่าดัชนีความกลัวนี้จะถูก "บิดจนสุด" แล้ว การที่ทองคำมีราคาสูงขนาดนี้เมื่อเทียบกับปริมาณเงิน ไม่ได้แปลว่าทองคำจะไปต่อ แต่ในทางประวัติศาสตร์ มันคือสัญญาณว่าความกลัวกำลังจะคลี่คลาย และโอกาสการลงทุนครั้งใหมในสินทรัพย์ที่สร้างนวัตกรรม (เช่น ตลาดหุ้น) กำลังจะเริ่มต้นขึ้นค่ะ
เนื้อหาที่มาจาก.. Beauty Investor