สแกน 6 หุ้นเด่นปี 65 กับโอกาสที่กำไร จะกลับมา “Restart” เพราะพื้นฐานธุรกิจ
หากนักลงทุนสนใจที่จะหาหุ้นน่าลงทุนในธีมที่แนวโน้มกำไรปี 65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับในปี 64 ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้แนะนำในธีมหุ้นที่กำไรปี 65 ที่เติบโตไว้อย่างน่าสนใจ โดยเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไร และเป็นหุ้นที่กระจายออกไปในแต่ละธุรกิจ ที่มีแนวโน้มการเติบโตและโอกาสที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มหุ้นดังกล่าวที่บล.เอเซีย พลัส เลือกคือ KBANK,CPALL,BEC,STEC,IVL และ SMT
หากมองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นนักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ได้ระบุไว้ดังนี้ โดยเริ่มที่หุ้น KBANK หรือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) นั้น องค์ประกอบรวมคาดกำไรสุทธิปี 64 เท่ากับ 3.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 22% จากปีก่อนและปี 65 ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 6.5% จากรายได้ดอกเบี้ยรับฯ ตามฐานสินเชื่อขยายตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมฯ
โดยผลประกอบการถูกขับเคลื่อนด้วยการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากคุณภาพสินทรัพย์ดีกว่าคาดเป็น อัพไซด์ต่อประมาณการ โดยทุก 10 bps ของ Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น(ลดลง) ภายใต้สมมติฐานอื่นคงเดิม จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น (ลดลง) ประมาณ 5% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 158 บาท
ทางด้านของ CPALL นักวิเคราะห์มองว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัวได้ถึง 107% ในปี 65 สูงขึ้นจากฐานปี 64ที่ต่ำลง โดยผลกระทบการถือหุ้น MAKRO ลดลงราว 54.7% หลัง MAKRO ขายหุ้น PO รวมกับที่ CPALL จะขายหุ้น MAKRO บางส่วนพร้อม PO จะช่วยให้ MAKRO และ CPALLได้เงินมาคืนหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ Lotus’s
ขณะที่การฟื้นตัวจะมาจากผลบวกที่คาด SSSG ทุก Format และพื้นที่เช่า CPRD (Lotus’s) คาดฟื้นตัวตามภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจ, ท่องเที่ยวที่กลับมา และมาร์จิ้นลดลงฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบ COVID ที่ลดลง โดยเฉพาะสินค้ามาร์จิ้นสูงในส่วน CPALL,MAKRO และธุรกิจพื้นที่เช่า Lotus’s ขณะที่คาดเติบโตต่อเนื่องอีก 24.8% ในปี 66 จากผลบวกดอกเบี้ยจ่ายสำหรับการซื้อ Lotus’s ลดลงเต็มปี ด้วยพัฒนาการทั้งธุรกิจและผลประกอบการที่จะเห็นต่อเนื่องนับจากนี้ ประกอบกับ มูลค่าพื้นฐานปี 65 อิงวิธี DCF (WACC 8.0%, growth 2.0%) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 70.2 บาท
สำหรับหุ้น BEC แนวโน้มไตรมาส 4/64 ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 202 ล้านบาท เพิ่ม 41% จากไตรมาสก่อน จากการขายลิขสิทธิ์ไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยมีแผนในการ Simulcast คอนเทนต์ 2 เรื่อง ได้แก่ Help me คุณผีช่วยด้วย และเกมล่า ทรชน ผ่านช่องทาง Netflix ทั้งในประเทศเวียดนาม,ฟิลิปปินส์,สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรปี 64-66 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 25.9% พลิกจากที่ขาดทุนสุทธิ 214 ล้านบาท ในปี 63 เป็นกำไร 669 ล้านบาท ในปี 64 และเพิ่มขึ้นเป็น 1,061ล้านบาท ในปี 66 คาดอัตราค่าโฆษณาต่อนาทีและอัตราการใช้สื่อฟื้นตัวตามอุตสาหกรรม ส่งผลให้รายได้จากการขายเวลาโฆษณาปี 65-66 เติบโตขึ้น 10% และ 4.83% ตามลำดับแนะนำ “ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 16 บาท
ส่วนหุ้น STEC นักวิเคราะห์เอเซีย พลัส จำกัด ได้ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 65 และเปลี่ยนวิธีประเมินมูลค่าเหมาะสมจากเดิมใช้วิธี PBV อิงHistorical -1.5 S.D มาใช้วิธีPER อิง Historical PER 24 เท่า เพื่อให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกำไรที่ทำได้ บนมุมมองว่า STEC จะสามารถกลับมาทำกำไรได้ตามปกติอีกครั้งในปี 65 จะให้ราคาเหมาะสม 18 บาท แนะนำ ซื้อ มองจุดต่ำสุดของผลประกอบการผ่านไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 2/64 จากนี้กำไรจะเติบโตตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ปิดท้ายที่ SMT นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส คงประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 64-65 จะเติบโตถึง 179.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 42.7% จากปี 64 จากแนวโน้มคำสั่งซื้อจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้น หนุนแนวโน้มรายได้รวมปี 2564-65 จะเติบโตถึง 32.6% และ 38.7% สู่ระดับ 2.5 พันล้าน บาท และ 3.3 พันล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้กำหนด Fair Value ปี 65 เท่ากับ 8 บาท อิงวิธี DCF (WACC 11.6%) ให้น้ำหนักธุรกิจฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 และจะเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ค่า PER ปี 2565 อยู่ที่ 21 เท่า โดยแนะนำ “ซื้อ”