เช็คสุขภาพหุ้นกลุ่ม ปตท. PTTGC ยืนหนึ่งฟื้นตัวแรง
ถ้าจะเล่นกับน้ำมันก็ต้องตามให้ทัน เพราะถือเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และเราไม่สามารถรับรู้ได้ล่วงหน้า อย่างเมื่อวันที่ 22 ก.ค.63 มีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม หลังสหภาพยุโรปสามารถบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองทุนวงเงินกว่า 7.5 แสนล้านยูโร เพื่อพื้นฟูเศรษฐกิจของชาติสมาชิกหลังเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัว
ล่าสุดหน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ รายงานเมื่อวันนี่ 23 ก.ค.63 ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้น้ำมันที่อ่อนตัวลง เนื่องจากสหรัฐฯ พบยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น
รวมทั้งความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ มีคำสั่งให้จีนปิดสถานกงสุลในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส ภายใน 72 ชั่วโมง โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ และข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน ทางด้านจีนแถลงตอบโต้ว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายด้านการทูต ขอให้สหรัฐฯ ถอนการตัดสินใจที่ผิดพลาด มิเช่นนั้นจีนจะตอบโต้กลับด้วยความเท่าเทียม
อย่างที่ทราบกันดีว่า ราคาน้ำมันเราไม่สามารถประเมินได้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ เพราะในตลาดหุ้นไทยมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับราคาน้ำมันกันอย่างมาก อย่างกลุ่มหุ้นมหาชนคือ กลุ่ม PTT ที่น้ำมันขึ้นลงก็มีผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างมาก ดังนั้นครั้งนี้เราจึงหยิบยกหุ้นดังกล่าวมานำเสนอต่อนักลงทุน ว่านำจากนี้จะเป็นอย่างไร
เมื่อเข้าไปสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่ม PTT ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.63 -วันที่ 22 ก.ค.63 ประกอบด้วย PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, IRPC พบว่า PTTGC ฟื้นตัวมากที่สุด บวกสูงถึง 42.86% ตามด้วย PTTEP ที่บวก 25.75% มีรายละเอียดในตางรางดังนี้
PTTGC ครึ่งหลังแจ่ม
จากราคาของ PTTGC เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง และถือว่าเพิ่มมากสุดของกลุ่ม PTT ซึ่งล่าสุดมีมุมมองบวกแนวต่อโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 63 และความเป็นไปได้ที่โครงการ Ethane Cracker (Ohio) ในสหรัฐฯ เลื่อนการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final investment decision: FID) ออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี หลัง Daelim Chemical USA ถอนตัวจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยอ้างอิงจากนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด
ทั้งนี้ยังระบุอีกว่า คาดไตรมาส 2/63 จะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิที่ 1.69 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/63 ที่มีผลขาดทุน 8.78 พันล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ Stock loss ที่ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ที่มีผลขาดทุนจาก Stock มากถึง 8.9 พันล้านบาท เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ลดลงจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทปรับลดกำลังกลั่นลง นอกจากนี้ตามการดำเนินงานปกติกลับมาฟื้นตัวจากค่าการกลั่น ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ฟื้นตัว เพียงพอชดเชยราคา HDPE จะปรับดลงกว่า 9.4% จากไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ธุรกิจหลักเริ่มฟื้นตัว คาดหนุนกำไรปกติไตรมาส 3/63 โดยปัจจุบันราคา HDPE ในช่วงไตรมาส 3/63 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 890 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 17.1% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ส่วนต่างราคา HDPE ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 500 เหรียญต่อตัน ขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบเริ่มลดลง อย่างไรก็ตามความเสี่ยงต่อประมาณการผลประกอบการปี 2563 ยังคงมีอยู่จาก การฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ล่าช้ากว่าคาด และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ COVID-19 ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 58 บาท
PTTEP ไตรมาส 2 ยังมีกำไร
PTTEP มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือสถานการณ์ COVID-19 แต่ทิศทางผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2563 ยังมีโอกาสปรับลดลงจากราคาขายก๊าซฯ (ยอดขายก๊าซฯ คิดเป็น 70% ของปริมาณขาย) ที่ลดลง จากผลของราคาน้ำมันดิบที่ต่ำในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อ้างอิงจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด พร้อมให้คำแนะนำเก็งกำไร ตามทิศทางของราคาน้ำมัน ให้ราคาเป้าหมาย 110 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ยังระบุอีกว่า ขณะนี้ประเมินไตรมาส 2/63 ทาง PTTEP จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.39 พันล้านบาท ลดลง 37%จากไตรมาสก่อน และลดลง 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการไตรมาส 2/63 ยังคงปรับลดลง แม้บริษัทจะได้ประโยชน์ทางภาษีจากการเปลี่ยนวิธีคำนวณภาษีตามสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน (Functional Currency) ทำให้บริษัทมี Tax Benefit ประมาณ 3.2 พันล้านบาท ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับดลง โดยราคาน้ำมันดิบ Dubai ในช่วงไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 31.68 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 37% จากไตรมาสก่อน และลดลง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกระทบราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ แม้ราคาขายก๊าซฯ ยังคงทรงตัว จากไตรมาสก่อน และผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงต่ำกว่า Guidance
โดยราคาน้ำมันดิบยังมี Downside ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ซึ่งปัจจัยเสี่ยงกดดันการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบอยู่ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สอดคล้องกับรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ระบุเตือนในรายงานประจำเดือนล่าสุดว่า ความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ แม้ OPEC+ จะเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบ จะกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
แต่ยังมีความเสี่ยงจาก (1) ปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง (2) ความกังวลต่อ Second wave ของ COVID-19 และ (3) มติ OPEC+ ที่จะปรับลดกำลังผลิตเหลือเพียง 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ส.ค. - ธ.ค. 63 จะยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปี 2563
TOP ครึ่งแรกอาจไม่มีปันผล
ความน่าสนใจเรื่องเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรก 63 อาจจะไม่มีเพราะผลประกอบการขาดทุนในระดับสูง
อ้างอิงจากนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า ขณะนี้เปลี่ยนไปใช้ราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 48.00 บาท (จากเดิม 47.00 บาท) อิง PBV Multiplier 0.8x โดยปรับลดโทนคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากขาด Earning Momentum ต่อในช่วง 2H63 ขณะที่ความน่าสนใจเรื่องเงินปันผลระหว่างกาล 1H63 อาจจะไม่มีเพราะผลประกอบการขาดทุนในระดับสูง อย่างไรก็ตามหาก Sentiment ดีขึ้นราคาหุ้นสามารถซื้อขายกันในกรอบ PBV 0.9-1.0x ใกล้กับ Peer ของโรงกลั่นในภูมิภาคได้
แต่คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะกลับมามีกำไรสุทธิ 2.6 พันล้านบาท จากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/63 ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท หลักๆ เป็นเพราะรับรู้กำไรสต็อกน้ำมันรวมการกลับรายการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) สุทธิราว 1.9 พันล้านบาท (1Q63 ขาดทุน 1.43 หมื่นล้านบาท) และค่าเงินบาทแข็งค่า ณ สิ้นงวด ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นราว 2.1 พันล้านบาท (1Q63 ขาดทุน 2.3 พันล้านบาท) ด้านผลการดำเนินงานหลักยังไม่ดีคาดว่าจะออกมาขาดทุน 1.7 พันล้านบาท แย่ลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประเด็นสำคัญเกิดจากสงครามราคาน้ำมันและการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้ชะลอตัวในช่วง Lockdown กดดันส่วนต่างราคาน้ำมัน ULG95/Jet/Gasoil/LSFO ปรับลงแรง ขณะที่ประโยชน์ของต้นทุน Crude ที่ถูกลงจากการปรับราคา OSP ของซาอุฯ และประเทศกลุ่ม ME (Arab Extra Light / Arab Light / Murban ลดลง 7-10 $/bbl จาก 1Q63) ถูกหักกลบด้วย Lag-time
ด้านการขนส่งและการขายส่งออกน้ำมันอากาศยานที่ได้ Margin ต่ำ ส่งผลให้ค่าการกลั่น Market GRM ฟื้นตัวน้อยกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อ บาร์เรล ($/bbl) เทียบกับ 0.1 $/bbl ในไตรมาส 1/63 โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นลดลงอยู่ที่ 98% จากไตรมาส 1/63 ที่ 111%
ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นแม้ส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่น/ยางมะตอย จะดีขึ้นแต่ราคาผลิตภัณฑ์ By-product ที่อิงกับราคา Gasoil ลดลง ทำให้ Contribution Margin ลดลงเหลือ 0.1 $/bbl เทียบกับ 0.6 $/bbl ในไตรมาส 1/63 ส่วนอะโรมาติกส์ถูกกระทบจากส่วนต่าง BZ-ULG95 ที่ลดลง Contribution Margin จึงเหลือ 1.3 $/bbl เทียบกับ 1.5 $/bbl ใน 1Q63 รวมแล้วประเมิน Market GIM ที่ 2.9 $/bbl เพิ่มขึ้น 38%จากไตรมาส 1/63 แต่ลดลง 31%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/63 คาดผลประกอบการพลิกหดตัวจากไตรมาส 2/63 อีกครั้ง เนื่องจาก 1)ไม่มีรายการพิเศษจากปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือน ไตรมาส 2/63 และ 2) คาดอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นยังทรงตัว (Optimization) ภายใต้แรงกดดันจากค่าการกลั่นที่ลดลง จากไตรมาส 2/63 แม้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปจะเริ่มฟื้นตัวหลังคลาย Lockdown แต่การเพิ่มขึ้นยังถูกจำกัดด้วยความเสี่ยงการแพร่ระบาดรอบใหม่และปริมาณสต๊อกทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ฝั่งต้นทุนน้ำมันดิบยังแพงขึ้นตามราคาประกาศของซาอุฯ ไตรมาส 3/63 ที่ Arab Light เปลี่ยนเป็น Premium ที่ +0.7 $/bbl เทียบกับ Discount -5.4 $/bbl ใน 2Q63
3) ธุรกิจอะโรมาติกส์แย่ลงตาม Spread PX/BZ เฉลี่ย ณ QTD ที่ลดลงอย่างมากเหลือ 141 เหรียญสหรัฐ ต่อ ตัน ($/ton) และ 16 $/ton เป็นเพราะความต้องการใช้ลดลงช่วง Low season ของผู้ผลิต PTA/PET และภาวะอุปทานล้นตลาดจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในจีน ซึ่งประเมินจากแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีที่มีโอกาสแย่กว่าคาด เราจึงปรับประมาณการปี 63 ลงเป็นขาดทุนปกติ 717 ล้านบาท ส่วนปี 64 คงเดิมพลิกเป็นกำไรสุทธิ 5.6 พันล้านบาท ภายใต้สมมติฐาน Market GIM ปี 63/64 ที่ 2.4 $/bbl และ 5.4$/bbl ตามลำดับ
IRPC ต้นทุนยังกดดัน
การฟื้นตัวในช่วงที่เหลือยังถูกกดดันจากโครงสร้างต้นทุนของบริษัทที่สูงกว่าผู้ประกอบการปิโตรเคมีและโรงกลั่นรายอื่น อ้างอิงจากบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า ขณะนี้เปลี่ยนไปใช้ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 3.10 บาท (จากเดิม 2.60 บาท) อิง PBV Multiplier 0.8x แม้ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/63 แต่ยังขาดความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือยังถูกกดดันจากโครงสร้างต้นทุนของบริษัทที่สูงกว่าผู้ประกอบการปิโตรเคมีและโรงกลั่นรายอื่น ส่งผลให้ผลประกอบการมีความผันผวนค่อนข้างสูง รวมถึงคาดว่าจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1H63 อย่างไรก็ตามราคาหุ้นได้ปรับฐานไปในระดับหนึ่งจนมี Downside จำกัดแล้ว ปัจจุบันซื้อขาย Laggard กว่ากลุ่ม ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อเก็งกำไร”
โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะยังขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 414 ล้านบาท แต่ฟื้นตัวจาก ไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนสุทธิ 8.9 พันล้านบาท หลักๆ เป็นเพราะราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิ (รวม LCM) ลดลงเทียบกับ ไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนมากถึง 6.8 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อรวมกำไรจากธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงคาดว่าส่วนนี้จะหักกลบกันพอดี ดังนั้นรายการพิเศษที่เหลือจะมาจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนราว 352 ล้านบาท จากค่าเงินบาท ณ สิ้นงวดที่แข็งค่าขึ้น ด้านผลการดำเนินงานหลักคาด Market GIM จะเพิ่มขึ้น 29%ไตรมาส 1/63 เป็น 8.8 $/bbl ส่วนใหญ่เป็นเพราะค่าการกลั่นที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันดิบ (Arab Extra Light / Arab Light) ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเป็น Discount ราว 5-6 $/bbl จาก Premium 3-4 $/bbl ในช่วงไตรมาส 1/63 ช่วยชดเชย Crack Spread ที่ลดลงตามความต้องการใช้ในช่วง Lockdown
ส่วนผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีส่วนต่างราคา HDPE และ PP ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นทุน Feed Cost (Naphtha) ลดลง แต่ถูกชดเชยด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์และสไตรีนิกส์ที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามจากต้นทุนรวมต่อหน่วยยังอยู่ในระดับสูงราว 12 $/bbl ทำให้ผลการดำเนินงานยังไม่สามารถ Break-even ได้ โดยคาดขาดทุนปกติที่ 766 ล้านบาท
คาด 3Q63 ต้นทุนน้ำมันดิบแพงขึ้น
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/63 คาดผลการดำเนินงานหลักยังเผชิญผลขาดทุน โดยมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนน้ำมันดิบที่แพงขึ้นจากการประกาศปรับเพิ่มราคา OSP ของซาอุฯ ในเดือนก.ค.-ส.ค.โดยน้ำมันดิบประเภท Arab Light ที่โรงกลั่น IRPC ใช้เป็นส่วนใหญ่พลิกกลับมาเป็น Premium +0.7 $/bbl ในไตรมาส 3/63
อย่างไรก็ตามคาดส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทยอยฟื้นตัวด้วยผลบวกจากการคลาย Lockdown และตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโอเลฟินส์ที่มีความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมการแพทย์และบรรจุภัณฑ์อาหาร ภายใต้การประเมิน Market GIM ใน 2H63 เพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 9-10 $/bbl และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ 200-205 KBD จากในช่วง 1H63 ที่ 188 KBD แม้จะยังไม่ถึงจุด Break-even แต่ก็จะขาดทุนลดลง เบื้องต้นเรายังคงประมาณการปี 63 ขาดทุนปกติ 1.5 พันล้านบาท ส่วนปี 64 พลิกกำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ภายใต้สมมติฐานปริมาณการกลั่นเฉลี่ยปี 63 ที่ 198 KBD และ Market GIM ปี 63-64 ที่ 9.5$/bbl/10.5$/bbl
GPSC ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่า ขณะนี้ GPSC แนะ ซื้อ เป้าสูงสุด IAA Consensus 95 บาท โดยถือเป็นหุ้นที่ปลอดภัยจาก Covid-19 และ Trade war อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่ได้ Sentiment บวกหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ต้องการให้ EGAT เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในประเทศให้ไม่ต่ำกว่า 51% ช่วยปลดล็อก overhang และเพิ่ม upside หรือ Growth story ให้กับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าในประเทศ
PTT หนึ่งในหุ้นที่นักวิเคราะห์ชอบ
สุดท้าย PTT ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่นักวิเคราะห์ชอบมากที่สุด อ้างอิงจาก นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังชอบ PTT, PTTEP, PTTGC มากที่สุด สภาวะตลาดน้ำมันดิบและค่าการกลั่นค่อนข้างผันผวนสูงจากผลกระทบของ COVID-19 แต่ก็คาดว่าราคาน้ำมันดิบยังน่าจะยืนเหนือ $40/บาร์เรลได้ ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำอย่าง PTT และ PTTEP ต่อเนื่อง ขณะที่ PTTGC ยังคงได้ประโยชน์จากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบ (ก๊าซ) ปรับขึ้นช้ากว่าแนฟทา
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก