ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องอนาคตธุรกิจกลุ่ม CK

โดย ดอกชบา
เผยแพร่ :
183 views

ส่องอนาคตธุรกิจกลุ่ม CK

โอกาส และแนวโน้มผลประกอบการที่กำลังเติบโต

.

แนวโน้มธุรกิจของหุ้นในกลุ่มช.การช่าง หรือ CK กำลังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นจากการประมูลงานใหม่ของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างที่ CK มีโอกาสจะได้รับ หรือการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่จาก BEM รวมถึง CKP ได้ประโยชน์จากปริมาณฝนที่ตกชุกจึงส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนโรงไฟฟ้ามียอดจำหน่ายไฟฟ้าได้สูงขึ้น

.

หลังจากที่ในช่วงนี้ราคาหุ้นของกลุ่มช.การช่าง หรือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กำลังกลับมาได้รับความสนใจจากเหล่านักลงทุนไม่ว่าจะเป็น CK และ BEM หลังจากที่ล่าสุดมีประเด็นข่าวบวกต่อ sentiment การลงทุนกรณีที่ทางว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก

.

โดยพบว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เสนอผลประโยชน์สุทธิดีกว่ากลุ่ม บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ดังนั้น BEM จึงเป็นผู้ชนะในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม

.

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะนำผลการประมูลดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการ รฟม. จากนั้นจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเข้าครม.ได้ในปลายปี 65 และจะสามารถเซ็นสัญญากับ BEM ได้ภายในสิ้นปี 65 เช่นกัน

.

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงบวก ต่อการที่ BEM เป็นผู้ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) คาดเพิ่มมูลค่าราคาเป้าหมาย ปี 66 หุ้น BEM อีก 1.35 บาท เป็น 11.05 บาท ซึ่งคงคำแนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นต้องติดตาม คือ คดีที่ BTS ฟ้อง รฟม.เกี่ยวกับการประมูลยังไม่ถึงที่สิ้นสุด และประเด็นเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมประมูล

.

ด้าน บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รฟม. เร่งกระบวนการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ กลุ่ม BEM ชนะประมูลตามคาด ในขณะเดียวกัน การประมูลรอบนี้ ดูเหมือนจะเป็นเพียงส่วนของโครงการทางฝั่งตะวันตกจากศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยไปถึงบางขุนนนท์ แต่ผู้ชนะการประมูลจะได้เดินรถสายสีส้มเต็มสายจากบางขุนนนท์ถึงมีนบุรี

.

BEM จะเป็นผู้เดินรถ คาดว่า IRR ของโครงการนี้จะอยู่ที่ 8.5% และ net NPV จะอยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้มูลค่าของ BEM เพิ่มขึ้น 1 บาท/หุ้น ซึ่งใช้สมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมว่าจำนวนผู้โดยสารในช่วงที่เริ่มเปิดดำเนินการจะอยูที่ 200,000 คน/วันในปี 2570 และจะเพิ่มเป็น 900,000 คน/วันในช่วงท้ายสัมปทานในปี 2600 (สัมปทาน 30 ปี)

.

ทั้งนี้ บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยประมาณการทางการเงิน และ IRR ของโครงการนี้ ดังนั้น ถ้าหาก IRR หรือสมมติฐานใดสูงกว่าที่เราคาดไว้ก็อาจจะทำให้ประมาณการของเรามี upside เพิ่มอีก

.

คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 11.50 บาท จากการนำมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 1 บาท/หุ้นจากการชนะประมูลสายสีส้มเข้ามารวมด้วย เราชอบ BEM เพราะบริษัทไม่มีประเด็นน่าห่วงด้านกฎเกณฑ์ทางการ และ ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนจากปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นหลัง Covid-19

.

ขณะที่ CK บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า มีประเด็นบวก จากผลการประมูลรถไฟฟ้าสีส้มอย่างไม่เป็นทางการที่ BEM ชนะ ทำให้ CK มีโอกาสได้งานรับเหมาฯฝั่งตะวันตกและคาดหนุน Backlog ทะลุ 1 แสนล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาวและหนุนธุรกิจรับเหมาฯเป็นขาขึ้น คาดกำไรปกติปี 65 จะเติบโต 8% จากปีก่อน และเร่งตัวขึ้นแป็นเติบโต 64% ในงวดปี 66 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท

.

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย ) จำกัด มองว่า การที่ CK ได้งานสายสีส้ม เพิ่ม Backlog ได้มาก งานรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก แบ่งเป็นงานโยธา 96,000 ล้านบาท และงานวางระบบ 31,000 ล้านยาท จากที่มีงานในมือ 59,700 ล้านบาท

.

อีกทั้ง มีโอกาสจะได้งานโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 85,000 ล้านบาท ข้อดีคือ ราคาเหล็กที่อ่อนลง,ปัญหาขาดแคลนแรงงานคลี่คลาย ซึ่งจะต่อยอดการเติบโตในระยะยาวต่อไป คาดกำไรสุทธิปี 65 ฟื้นตัว 247% และเติบโตต่อ 41% ในปี 66 ให้ราคาพื้นฐาน 25 บาท

.

นอกจากนี้ CKP ยังถือเป็นอีกหุ้นในกลุ่มช.การช่าง ที่จะได้ประโยชน์ในช่วงหลังจากที่ปริมาณฝนตกชุก จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากขึ้น และทำให้โรงไฟฟ้าสามารถขายไฟได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า งวดไตรมาส 3/65 ของ CKP จะเป็นช่วงที่กำไรมากที่สุดของปี และทำให้ปี 65 กำไรจะเติบโต

.

โดยช่วงไตรมาส 3/65 ซึ่งเป็นช่วงหน้าฝนและปีนี้ฝนตกมากกว่าปกติ โรงไฟฟ้าน้ำงึมสองได้แจ้งขายไฟ ไว้ที่ 555GWh เพิ่มขึ้น 42% จากไตรมาส 2/65 แต่ลดลง 1% จากปีก่อน ส่วนโรงไฟฟ้าไซยะบุรี คาดไตรมาส 3/65 จะมีปริมาณขายไฟเพิ่มขึ้น 2,589 GWh เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 2/65 และเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน

.

ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆ คือ โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น (BIC) และ โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย (BKC) สมมติให้ขายไฟใกล้เคียงเดิม ดังนั้นในไตรมาส 3/65 เราประเมินกำไรจะสูงสุดของปีนี้ประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทำได้ใกล้เคียงปีก่อน และทั้งปีจะมีกำไรปกติที่ทำสถิติ รวมปี2565คาดกำไร 2,300 ล้านบาท

 

 


ดอกชบา