เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่านโยบายการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วลุกลามไปทั่วโลกในปี ค.ศ 2008 โดยผู้ที่ริ่เริ่มคือ Ben Bernanke ซึ่งเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้น
การอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ 2008 โดยธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก่อนแล้วตามมาด้วยธนาคารกลางประเทศอังกฤษ, ธนาคารกลางยุโรป และ ธนาคารญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
การอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE ทั้ง 4 ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ของโลกได้ดําเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี ค.ศ 2008 จนมาถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางปี ค.ศ 2014 ซึ่งเป็นเวลารวมทั้งสิ้น 6 ปี โดยมีเม็ดเงินในการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE ทั้งสี้น 10 ล้านล้าน USD
ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและธนาคารกลางของประเทศอังกฤษ ได้ชะลอและยุติการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE แล้ว ตั้งแต่กลาง ปี ค.ศ 2014 แล้วเริ่มทําการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเริ่มจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก่อน โดยทําการปรับดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Fed Fund Rate ครั้งแรกในรอบ 9 ปีในช่วงปลายปี ค.ศ 2015 และทําการปรับต่อเนื่องหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงนโยบายอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE อย่างต่อเนืองจนถึงปัจจุบัน และทั้งธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นก็คาดว่าน่าจะยุติการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE ได้ในปี ค.ศ 2018 และ 2019 ตามลําดับ หลังจากนั้นจึงจะเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาไป
ในขณะที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ก็จะมีการลดขนาดงบดุลลงมาด้วย เพื่อชดเชยการเพิ่มขึันของงบดุลของประเทศต่างๆ เป็นปริมาณ 10 ล้านล้าน USD ที่ทําการอัดฉีดสภาพคล่องเอาไว้ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี โดยจะทยอยลดลงตามการทยอยการปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก็ได้เริ่มลดวงเงินงบดุลของตัวเองลงแล้วตั้งแต่เดือนที่แล้วคือเดือนตุลาคม ปี ค.ศ 2017 เป็นต้นมา
จากแนวโน้มการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE และการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักๆ ของโลกดังกล่าวข้างต้น แล้วนําไปรวมกับราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น นํ้ามัน และ ถ่านหิน เป็นต้น และค่าระวางเรือ ( BDI INDEX ) ซึ่งลงไปทําจุดตํ่าสุดในช่วงต้น ปี ค.ศ 2016 ทําให้เราพอจะสรุปได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกน่าจะลงไปทําจุดตํ่าสุดในรอบนี้ประมาณต้น ปี ค.ศ 2016 และ ปัจจุบันอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว
แล้วขาขึ้นที่ว่านี้จะคงอยู่อีกยาวนานแค่ไหน? ผู้โพสต์คาดว่าตราบไดที่ Fed Fund Rate ยังป็นขาขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกก็ยังจะเป็นขาขึ้น จนกระทั่ง Fed Fund Rate จะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.00 - 4.25% ประมาณ ปี ค.ศ 2021