ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปข้อคิดที่ได้จากการฟังงานประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2017

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
67 views


งานประชุมของเบิร์กไซด์ ถือว่าเป็นงานรวมตัวผู้ชื่นชอบบัฟเฟตต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก บางคนยอมจ่ายเงินหลายล้านบาทเพื่อให้ได้จับมือกับวอเร็น บัฟเฟตต์ เพียงปีละ 1 ครั้ง
(ขอบคุณ Credit ภาพ : blog.nfm.com)

เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมได้นั่งอ่าน Highlight ย้อนหลังของหลายเว็บไซด์ที่สรุปงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ปี 2017 ว่าบัฟเฟตต์พูดอะไรบ้าง และผมได้สรุปสาระสำคัญ 4 ข้อ จากงานเขียนที่ผมได้อ่านครับ

1. เบิร์กไซด์นั่งทับเงินปีละหลายหมื่นล้านเหรียญ เขาจะบริหารเงินก้อนนั้นได้อย่างไร?
ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เบิร์กไซด์ประกาศผลประกอบการออกมาซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากถึง 9 หมื่นล้านเหรียญ ($96.5 billion) เบิร์กไซด์จะทำอย่างไรต่อไปเมื่อนั่งทับเงินมหาศาลเหล่านี้ไว้

บัฟเฟตต์บอกว่า พวกเขาจะถือเงินสดเอาไว้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญเพื่อที่จะมองหาการลงทุนหรือซื้อกิจการที่ดีในราคาสมเหตุสมผล มังเกอร์พูดแทรกขึ้นมาว่า"ไม่แน่นะ พรุ่งนี้พวกเราอาจจะมีข่าวการซื้อกิจการมูลค่า 1.5 แสนล้านเหรียญก็ได้ เราเต็มใจที่จะก่อหนี้ถ้าการลงทุนนั้นมันสุดยอดจริงๆ หรือไม่ก็ขายหุ้นบางตัวออกไป...."

มังเกอร์พูดได้อย่างน่าสนใจต่อไปอีกว่า "... แต่เป็นเรื่องน่าเสียดาย โอกาสที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ ดีลล่าสุดที่เราไปซื้อกิจการมา คือ Precision Castparts ซึ่งเกินขึ้นมานานแล้ว และเราก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีกเลย .. การมองหาธุรกิจที่มีส่วนลดมากๆเป็นเรื่องเก่าๆที่ทำได้ยากยิ่งในปัจจุบัน"

บัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่มังเกอร์พูด
"การมองหาส่วนลดในทุกวันนี้ เป็นเรื่องยากไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมองหามัน แต่เราก็มีวิธีในการบริหารเงินก้อนนั้นอยู่ดี ไม่ว่าเงินก้อนนั้นจะมากขนาดไหนก็ตาม"

แล้วคุณจะทำอย่างไรกับเงินก้อนนั้นละ มีผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งลุกขึ้นถาม "การบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ นั้นคือการมองหา "ความได้เปรียบทางการแข่งขัน(competitive advantage)" ของบริษัทนั้นในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าว่ายังมีอยู่ไหม ทีมบริหารมีความสามารถหรือไม่ และที่สำคัญคือราคาที่ซื้อมีความสมเหตุสมผลมากน้อยขนาดไหน"

บัฟเฟตต์ยังกล่าวอีกว่า" ไม่แน่นะ! ถ้าเรามองหาการลงทุนที่ดีไม่ได้จริงๆ การซื้อหุ้นเบิร์กไซด์คืนก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง แต่เขาจะเลือกซื้อก็ต่อเมื่อมูลค่าของหุ้นเบิร์กไซด์ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีไม่น้อยกว่า 120% ผมถึงจะตัดสินใจซื้อหุ้นคืน"


บัฟเฟตต์แนะเสมอว่า การลงทุนกองทุนอิงดัชนี ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ คือการลงทุนที่ The Best ที่สุด
(ขอบคุณ Credit ภาพ : Fortune)

2. บัฟเฟตต์ยังคงเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า ลงทุนในกองทุนอิงดัชนี เป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด
สำหรับคนทั่วไปแล้ว บัฟเฟตต์มีความเห็นว่าลงทุนในกองทุนอิงดัชนี S&P 500 คือการลงทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขาควรทำเป็นอย่างยิ่ง ประวัติศาสตร์บอกเราแล้วว่าผลตอบแทนที่ตลาดหุ้นมอบให้น่าดึงดูดใจและสร้างผลตอบแทนมากกว่าผู้จัดการกองทุนที่ชอบซื้อขายหุ้นอยู่บ่อยครั้ง (active Fund)

นอกจากจะแนะนำผู้ถือหุ้นแล้ว เขายังแนะนำภรรยาของเขา(ไม่รู้ว่าเป็นซูซาน หรือแอสทริค) ให้ลงทุนในกองทุนอิงดัชนีหลังจากที่เขาตายไปแล้ว แทนที่จะซื้อหุ้นเบิร์กไซด์

มีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งลุกขึ้นถามว่าทำไมคุณถึงแนะนำแบบนั้นละ ? บัฟเฟตต์ตอบว่า "นี้คือการลงทุนที่ดีที่สุด ถ้าเราไม่อยากยุ่งยากในการมองหาด้วยตนเอง การซื้อกองทุนอิงดัชนีก็เหมือนกับการซื้อบริษัทอเมริกาทั้งหมด เรากำลังเดิมพันกับอนาคตของเศรษฐกิจอเมริกา .. แต่คุณต้องแน่ใจนะว่าการลงทุนนั้นเป็นการลงทุนระยะยาวจริงๆ"

"สำหรับเรื่องนี้ เราต้องขอบคุณคนๆหนึ่ง ที่สำคัญผมเป็นแฟนคลับของเขาด้วยนั้นคือ Jack Bogle ผู้ก่อตั้งกองทุนอิงดัชนี Vanguard ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำมาก ... อเมริกาต้องการคนแบบนี้แหละ!"

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ warren buffett meeting 2017
มีนักลงทุนถามว่า บัฟเฟตต์คิดอย่างไรกับเหตุการณ์ของ Well Fargo .. บัฟเฟตต์ตอบว่า ทุกๆบริษัทที่เขาลงทุนต่างก็มีปัญหากันหมด เพียงแต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่กัดกร่อนความสามารถของธุรกิจในระยะยาว ก็ถือว่า Ok!...
(ขอบคุณ Credit ภาพ : The Economic Times)

3. เรื่องของสายการบินและอุตสาหกรรมรถไฟ
บัฟเฟตต์รู้สึกแปลกใจมากที่ทำไมสื่อและนักลงทุนถึงให้ความสนใจในความคิดของเขาว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้นสายการบิน หลายๆสื่อก็เปรียบเทียบว่าเขากำลังลงทุนอุตสาหกรรมการบิน เหมือนกับอุตสาหกรรมรถไฟ

บัฟเฟตต์บอกว่า "มีนักวิเคราะห์จำนวนมากเปรียบเทียบการลงทุนของผมในอุตสาหกรรมการบินเปรียบกับการลงทุนในหุ้นรถไฟเมื่อหลายปีก่อน ผมว่าผมชอบนะ มันสมเหตุสมผลดี -- ก่อนที่ผมจะซื้อหุ้น BNSF Railway ผมเคยซื้อหุ้นรถไฟอีกหลายบริษัท" มังเกอร์กล่าวว่า "อุตสาหกรรมรถไฟ คือ อุตสาหกรรมที่เลวร้ายมากเมื่อ 80 ปีที่แล้ว พวกมันมีหลายบริษัท สุดท้ายก็เหลือเพียง 4 บริษัท และพวกมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อุตสาหกรรมโดยรวมมีการเติบโต โมเดลแบบนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอุตสาหกรรมสายการบิน"

แต่น่าเสียดายที่บัฟเฟตต์บอกว่าแนวคิดของมังเกอร์ถูกเพียงครึ่งเดียวกับสิ่งที่เขาคิด "ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยตอนซื้อหุ้นสายการบิน และผมก็ไม่เคยมาเปรียบเทียบด้วย ถ้าเรามองดูแบบผิวเผิน สายการบินไม่มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน แต่อุตสาหกรรมรถไฟมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ อย่างน้อยก็ต่ำกว่ารถบรรทุก ต้นทุนการจัดการบริหารก็ต่ำ ในขณะที่อุตสาหกรรมการบินมีการแข่งขันที่สูงมาก เล่นสงครามราคากัน ว่ากันโดยรวมแล้วพื้นฐานทางธุรกิจไม่มีอะไรให้น่าดึงดูดใจสักเท่าไร"

"ด้วยความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่สู้กันมาหลายปี ผ่านมาแล้วหลายสมัย อุตสาหกรรมการบินก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่บริษัท และยิ่งน้อยเข้าไปอีกเมื่อเรามองดูบริษัทที่อยู่ในกลุ่มการบินและรายได้โตขึ้นเรื่อยๆ มันเห็นได้ชัดเลยว่าสายการบินมีการบริหารงานมีประสิทธิภาพขึ้น บางครั้งสามารถขายที่นั่งได้มากกว่า 80% (available seat miles) ไม่มีการขนส่งแบบไหนที่ทำได้แบบนี้อีกแล้ว .. ทั้ง 4 สายการบินที่เบิร์กไซด์ไปซื้อมา ต่างก็มี return on capital อยู่ในระดับดีมากเลยทีเดียว นอกจากนี้เรายังเห็นการซื้อหุ้นคืน (stock buying back) ในราคาที่สมเหตุสมผลอีกด้วย นี้เป็นลักษณะที่ผม(บัฟเฟตต์)ชอบมากเลย"


4. ทุกๆธุรกิจมีปัญหา
ไม่แปลกใจที่วอเร็น บัฟเฟตต์ จะถูกถามเรื่องความผิดปกติของงบการเงินของบริษัท Wells Fargo แต่เมื่อเขาโดนถาม บัฟเฟตต์นิ่งเงียบไปสักครู่ก่อนที่จะตอบว่า "Wells Fargo คือบริษัทที่ดี แต่นี้เป็นความผิดที่ร้ายแรง"

Wells Fargo คือสถาบันการเงินที่ให้บริการแก่ลูกค้าที่หลากหลาย อาจจะเรียกได้ว่าเขามีความชำนาญมากเกี่ยวกับเรื่องการเงิน แต่พวกเขากลับเอาสิ่งที่พวกเขาชำนาญไปทำในสิ่งที่ผิด และนั้นถือเป็นความผิดพลาดของพวกเรา(อีกแล้ว)

บัฟเฟตต์ยังกล่าวเสริมอีกว่า "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Wells Fargo คือการที่ CEO ของบริษัท John Stumpf ไม่ออกมาแก้ไขอะไรมาก พวกเขาควรจะรู้ว่าการทำสิ่งนี้จะทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบอะไรบ้าง มันเป็นเรื่องใหญ่"

บัฟเฟตต์ยังยกตัวอย่างการลงทุนของเบิร์กไซด์ทีผ่านมาๆ เช่น American Express ที่มีข่าวฉาวเรื่องน้ำสลัด บริษัท Costco ที่มีปัญหาภายในองค์กร หรือแม้แต่สายการบิน United Continental ที่มีข่าวฉาวเรื่องใช้ความรุนแรงกับผู้โดยสารโดยลากผู้เสียหายออกจากเครื่องบิน

"พวกเราไม่ได้ซื้อ American Express หรือ Wells Fargo หรือ United Continental หรือ Coca Cola เพียงเพราะว่าพวกมันไม่เคยเจอปัญหา หรือพวกมันไม่มีคู่แข่ง แต่พวกเราซื้อมันเป็นเพราะว่าพวกมันมีธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีคูเมืองแห่งความได้เปรียบ นั้นหมายความ ทุกๆธุรกิจต่างก็มีปัญหากันหมด "


SiTh LoRd PaCk