มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมีความเชื่อมั่นในการวิเคราะห์แบบเดาล่วงหน้ามากเกินไป เรียกกันว่า "หลุมพลางเชิงพฤติกรรม" ... นอกจากจะชอบเดาล่วงหน้าแล้วยัง "ยึดมั่น" ในความคิดของตัวเองนานเกินไปอีกด้วย
ที่มาภาพ : bigpicture.typepad.com
งานวิจัยจาก SG Equity Research ได้เก็บข้อมูลย้อนหลังกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใน S&P500 และบทวิเคราะห์ประมาณการกำไรของบริษัทใน S&P500 จากสถาบันชื่อดัง ว่าการวิเคราะห์นั้นมีความแม่นยำมากแค่ไหน ...
ผลปรากฏว่า การประมาณการ(คาดเดา) มักจะตามหลังความเป็นจริงอยู่เสมอ และยังใช้เวลานานกว่าถึงจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกับความเป็นจริง
เห็นได้ชัดเลยว่านักวิเคราะห์ยังตามหลังความเป็่นจริง พวกเขาจะเปลี่ยนใจก็ต่อเมื่อมีหลักฐานแน่ชัดแล้วว่ามันได้เปลี่ยนไปแล้วซึ่งจะช้ามาก เราเรียกกระบวนการนี้ว่า การยึดติดและปรับเปลี่ยนอย่างช้าๆ (Anchoring and Slow adjustment)
ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจเลยว่าบทวิเคราะห์หลายฉบับในอเมริกาที่วิเคราะห์หุ้นตัวเดียวกันหรืออุตสาหกรรมเดียวกันมีความเห็นในเชิง "ใกล้เคียงกัน" และคำแนะนำก็ค่อนไปทางช้ามาก เช่น
- จากซื้อเปลี่ยนเป็นถือ (คำว่า "ถือ" หรือ "Hold" เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากในการลงทุน)
- จากซื้อสะสม เปลี่ยนเป็นลดพอร์ต และเปลี่ยนเป็นขาย ... แน่นอนว่ากว่าจะถึงเวลาแนะนำขาย มันก็ควรจะเป็นจังหวะซื้อที่ดีอีกครั้ง
- จากแนะนำขาย เปลี่ยนมาเป็นซื้อ ซึ่งหุ้นได้ขึ้นมาสักระยะหนึ่ง หรือทำ New High ไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เราไม่ควรด่วนสรุปว่าการอ่านบทวิเคราะห์จากโบรคเกอร์ ควรจะละเลยหรือกระทำในทางตรงกันข้าม เพราะข้อมูลที่โบรคเกอร์นำมาประมาณการนั้นเป็นข้อมูล "ย้อนหลัง" และนำมาใส่ในโมเดลในโปรแกรมที่ได้จัดเตรียมไว้ และวิเคราะห์จากสิ่งที่โปรแกรมคำนวนออกมา ทำให้ "การวิเคราะห์ มักจะตามหลังความเป็นจริงอยู่เสมอ"
แต่บทวิเคราะห์เหล่านี้ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่นักลงทุนต้องติดตามและอ่าน คิด วิเคราะห์ แยกแยะด้วยตัวของนักลงทุนเอง เพราะอย่างน้อยมันก็คือ "เข็มทิศ" ทางการลงทุน อย่างหนึ่ง
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ The Little Book of Behavioral Investing เขียนโดย James Montier