ห้องเม่าปีกเหล็ก

นับถอยหลัง 2 เมษา 'วันพิพากษา' การค้าโลก

โดย จอมมาร
เผยแพร่ :
156 views

นับถอยหลัง 2 เมษา 'วันพิพากษา' การค้าโลก

พรีวิวก่อนเจอของจริงในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ จะได้เตรียมใจ + ทำใจกันไว้แต่เนิ่นๆ

โดยเรื่องก็คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมที่จะประกาศใช้มาตรการ "ภาษี" ครั้งใหญ่ ซึ่งเขาเรียกวันนั้นว่าเป็น ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) เลยทีเดียวค่ะ

 

แล้วแผนภาษีใหม่นี้มันคืออะไร?

หลักการง่ายๆ ที่ทรัมป์บอกก็คือ "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Tariff) ค่ะ พูดง่ายๆ คือ ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาสูงเท่าไหร่ อเมริกาก็จะเก็บภาษีสินค้าจากประเทศนั้นในอัตราเดียวกัน หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ

แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ทรัมป์ไม่ได้มองแค่ "อัตราภาษีศุลกากร" (Tariff Rate) อย่างเดียวนะคะ เขายังมองไปถึง:

 

อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers - NTMs): พวกนี้คือ กฎระเบียบต่างๆ ที่ทำให้การส่งออกยุ่งยากขึ้น เช่น มาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด ขั้นตอนขอใบอนุญาตที่ซับซ้อน หรือโควตานำเข้าต่างๆ

 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ทีมงานทรัมป์มองว่า VAT เนี่ย บางประเทศใช้เหมือนเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการส่งออก (เพราะเวลาส่งออกมักจะได้คืนภาษีส่วนนี้) ซึ่งทำให้สินค้าจากประเทศเหล่านั้นได้เปรียบสินค้าอเมริกันที่ส่งไปขายในประเทศนั้นๆ

 

ใครอยู่ในข่ายที่จะโดนบ้าง?

ตอนนี้ทีมงานทรัมป์กำลังโฟกัสไปที่ 15 ประเทศคู่ค้า ที่อเมริกา "ขาดดุลการค้า" ด้วยมากที่สุด (หมายถึง อเมริกานำเข้าสินค้าจากประเทศเหล่านี้เยอะกว่าที่ส่งออกไปขายให้เขามากๆ ค่ะ) ซึ่ง 15 ประเทศนี้รวมกันแล้ว คิดเป็นสัดส่วน มากกว่า 75% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าโดยรวมของอเมริกาสูงลิ่วเลยค่ะ

ใน 15 ประเทศนี้ มีใครบ้าง? ลองดูกันค่ะ

 

จีน

เม็กซิโก

เวียดนาม

ไอร์แลนด์

เยอรมนี

ไต้หวัน

ญี่ปุ่น

เกาหลีใต้

แคนาดา

อินเดีย

ประเทศไทย (ใช่ค่ะ มีบ้านเราด้วยนะคะ ต้องจับตาดูใกล้ชิดเลย)

อิตาลี

สวิตเซอร์แลนด์

มาเลเซีย

อินโดนีเซีย

โดยคนในทีมทรัมป์เคยพูดถึงกลุ่มนี้ว่าเป็น "Dirty 15" หรือ 15 ประเทศตัวแสบด้วยนะคะ! อย่างไรก็ตามก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เพราะรายชื่อที่ทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เคยขอความเห็น ก็มีถึง 21 ประเทศ และทรัมป์เองก็เคยพูดว่าอยากจะใช้มาตรการนี้กับทุกประเทศเลย ยกเว้นแค่บางประเทศเท่านั้น

 

ถ้าทรัมป์เอาจริงแบบสุดๆ (Maximal Approach) จะเกิดอะไรขึ้น?

ทีนี้ มาถึงคำถามสำคัญ... ถ้าทรัมป์จัดเต็มแบบ 'Maximal' คือเอาทั้ง 3 ปัจจัย (ภาษี, NTMs, VAT) มาคิดรวมกันหมด มันจะแรงแค่ไหน? นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ได้ใช้แบบจำลองที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เคยใช้วิเคราะห์ เพื่อประเมินผลกระทบในสถานการณ์ที่เข้มงวดที่สุด พบว่า:

 

กำแพงภาษีสหรัฐฯ อาจสูงขึ้นมหาศาล: จากเดิมที่อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ หากใช้มาตรการนี้เต็มรูปแบบ อาจทำให้อัตราภาษีเฉลี่ย พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลายเท่าตัว ไปอยู่ในระดับที่ไม่เคยเห็นมานานมาก เทียบได้กับยุคก่อนสงครามโลกเลยทีเดียว

การขึ้นภาษีในระดับนี้จะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าแทบทุกชนิดแพงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบนี้จะ แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ ค่ะ บางประเทศอาจเจอการขึ้นภาษีในระดับที่สูงมากเป็นพิเศษ ขณะที่บางประเทศอาจเจอน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับโครงสร้างภาษีและอุปสรรคทางการค้าเดิมของแต่ละประเทศที่มีต่อสินค้าอเมริกัน

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายรุนแรง: การขึ้นภาษีอย่างหนักหน่วงนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ (GDP) อาจ ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก หรือถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจหดตัวได้เลย

ซึ่งหมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซบเซาลง การจ้างงานที่ลดลง และการลงทุนที่ชะงักงัน โดยผลกระทบเหล่านี้คาดว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะ ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

 

ค่าครองชีพในสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงขึ้น: เมื่อภาษีนำเข้าสูงขึ้น ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าที่นำเข้ามาขายในอเมริกาแพงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป

ผลก็คือ อาจสร้าง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทำให้ข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระทบต่อกำลังซื้อและ ค่าครองชีพของประชาชนอเมริกันโดยตรง ซึ่งอาจยิ่งทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดูแย่ลงไปอีก

 

นี่คือภาพจำลองผลกระทบในกรณีที่ทรัมป์เลือกใช้แนวทางที่เข้มงวดที่สุด หรือ "Maximal Approach" นะคะ ซึ่งเป็นการประเมินจากแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระดับที่รุนแรง

แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับภาพจำลองผลกระทบที่รุนแรงนั้นนะคะ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์จริงเบากว่าที่คาดการณ์ไว้มากค่ะ เช่น

 

เป็นเพียง 'ภาพจำลองสถานการณ์ที่แรงที่สุด': การประเมินผลกระทบที่ว่ามานั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าทรัมป์จะใช้มาตรการแบบ 'จัดเต็ม' คือนำทั้ง 3 ปัจจัย (ภาษี, อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี NTMs, และ VAT) มาคำนวณรวมกันทั้งหมดในระดับสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปค่ะ

การคำนวณพวกนี้เป็นการ "ประมาณการ" ซึ่งมีความไม่แน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะการตีมูลค่าของอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) นั้นซับซ้อนและมีหลายวิธีคิด ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ต่างกันได้ ดังนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายจริงๆ อาจจะเบากว่าภาพที่จำลองไว้มากก็ได้ค่ะ

 

ความไม่แน่นอนสูงมาก และอาจมีการผ่อนปรน: ต้องย้ำว่า ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์อาจจะเลือกใช้มาตรการที่ "ผ่อนปรน" (lenient) กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

ซึ่งอาจหมายถึงการขึ้นภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า การจำกัดจำนวนประเทศเป้าหมาย หรือการทยอยใช้มาตรการแทนที่จะทำทีเดียวทั้งหมด ทรัมป์เองก็เคยเปรยๆ ว่าอาจจะผ่อนปรนก็ได้นะคะ ซึ่งสะท้อนว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

นอกจากนี้ อย่าลืมว่า การเจรจาต่อรองกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ค่ะ หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในข่าย 15 ประเทศเป้าหมาย กำลังพยายามล็อบบี้และเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อจำกัดขอบเขตผลกระทบ หรือเพื่อให้ได้รับการยกเว้นในบางรายการ ซึ่งผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะมีผลอย่างมากต่อมาตรการสุดท้ายที่จะประกาศออกมาค่ะ

 

มันไม่ใช่แค่การประกาศฝ่ายเดียว แต่เป็นกระบวนการที่มีการต่อรองกันอยู่เบื้องหลัง

 

อาจมี 'รูปแบบ' การเก็บภาษีที่แตกต่างออกไป: มีความเป็นไปได้ว่า แทนที่จะคำนวณภาษีต่างตอบแทนแบบแยกรายประเทศอย่างซับซ้อน ซึ่งยุ่งยากและอาจนำไปสู่ข้อพิพาทได้ง่าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะเลือกใช้แนวทางอื่นที่ตรงไปตรงมามากกว่า เช่น กรณีของ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีกฎระเบียบและอัตรา VAT ขั้นต่ำที่ใช้ร่วมกันทั้งกลุ่ม

มีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์อาจจะเลือกเก็บ ภาษีในอัตราคงที่อัตราเดียวกับทุกประเทศใน EU ไปเลย (เช่น 25% ที่เคยขู่ไว้) แทนที่จะมาคำนวณแยกตามรายประเทศสมาชิกที่มีการค้ากับสหรัฐฯ สูงๆ อย่างเยอรมนี ไอร์แลนด์ หรืออิตาลี วิธีนี้อาจจะง่ายกว่าในทางปฏิบัติ แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้างอยู่ดี

 

แผนภาษีนี้เป็นแค่ 'ส่วนหนึ่ง' ของภาพใหญ่: ต้องไม่ลืมว่า นโยบาย "ภาษีต่างตอบแทน" นี้ เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆ แผนการค้าของทรัมป์นะคะ ที่ผ่านมาและในปัจจุบัน มีมาตรการอื่นๆ ที่บังคับใช้อยู่แล้ว หรือที่เคยประกาศ/ขู่ไว้ ซึ่งอาจมีปฏิสัมพันธ์กัน หรืออาจถูกนำมาปรับใช้แทนกันได้ เช่น

 

ภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าจีน (ที่ขึ้นไปแล้ว)

 

ภาษีเหล็กและอลูมิเนียม (ที่บังคับใช้แล้วกับหลายประเทศ)

 

ภาษีรถยนต์นำเข้า (ที่เพิ่งประกาศในอัตราสูง) ซึ่งกระทบหนักกับหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ให้สหรัฐฯ

 

ความเป็นไปได้ที่จะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับแคนาดาและเม็กซิโก หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ (USMCA)

 

การขู่ว่าจะเก็บภาษีกับสินค้ายุทธปัจจัยสำคัญอย่างยาและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) แม้ว่าล่าสุดจะมีสัญญาณว่าอาจจะยังไม่ดำเนินการในเร็วๆ นี้ก็ตาม

 

การขู่เก็บภาษี EU ในภาพรวม (ดังที่กล่าวไป)

ดังนั้น การวิเคราะห์ผลกระทบจริงๆ ต้องดูภาพรวมของมาตรการภาษีทั้งหมดประกอบกัน และต้องจับตาดูว่าทรัมป์จะเลือกใช้เครื่องมือไหน อย่างไร กับใครบ้างค่ะ

 

สรุปง่ายๆ คือ

วันที่ 2 เมษายนนี้ (ตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งอาจตรงกับวันที่ 3 เมษายนในบ้านเรา) เป็นวันที่ต้องจับตาดูให้ดีเลยค่ะ ว่าทรัมป์จะประกาศใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทนนี้จริงจังแค่ไหน จะออกมาแบบจัดหนัก เขย่าเศรษฐกิจโลก หรือจะออกมาแบบซอฟท์ๆ หน่อย เพื่อลดแรงกระแทกต่อตลาดและเศรษฐกิจ

 

ถ้าออกมาแบบแรงสุด: ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเองชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น (Stagflation) ตลาดหุ้นในอเมริกาอาจตกใจร่วงแรง ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นในประเทศคู่ค้าที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มากๆ หรืออยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกเพ่งเล็ง ก็อาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างหนักเช่นกัน ค่ะ

ลองนึกภาพว่าถ้าบริษัทส่งออกของประเทศนั้นๆ ขายของไปอเมริกาได้น้อยลงเพราะภาษีแพงขึ้น รายได้และกำไรก็จะลดลง ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนคงไม่ชอบ และอาจเทขายหุ้นจนทำให้ตลาดหุ้นของประเทศนั้นๆ ปรับตัวลงแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก

 

แต่ถ้าออกมาเบาๆ: ก็อาจจะกระทบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นน้อยลง แต่ก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายที่ทรัมป์ต้องการในเรื่องการปรับสมดุลการค้า หรือเพิ่มรายได้จากภาษี และอาจทำให้การขู่ขึ้นภาษีในอนาคตดูไม่น่าเชื่อถือเท่าเดิม

ความเป็นจริงคงอยู่ตรงกลางระหว่างสองทางนี้ค่ะ ซึ่งเราต้องรอติดตามรายละเอียดที่จะประกาศออกมาจริงๆ ไว้มีข้อมูลเพิ่มเติม แอดจะรีบมาวิเคราะห์และอัปเดตให้ฟังกันอีกแน่นอนค่ะ!

สำหรับนักลงทุน ช่วงนี้ก็ต้องติดตามข่าวสารนี้อย่างใกล้ชิด เพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะต่อไปได้ค่ะ

 

 

ที่มา Facebook Beauty Investor

 


จอมมาร