'ลอมบาร์ด'แนะฉวยบาทแข็ง เร่งลงทุนหนุนเศรษฐกิจโต
ลอมบาร์ด มองเงินบาทแข็งหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ฯ โอกาสเห็นแตะทะลุ 28.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังเฟดหั่นดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง ย้ำไทยใช้โอกาสกำลังซื้อเพิ่ม-เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อยออดเศรษฐกิจโตยั่งยืน เชื่อสหรัฐฯ-จีนบรรลุข้อตกลงเชิงบวก 70-80% แนะลูกค้ากระจายพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยง เน้นหุ้นกู้-พันธบัตร 40% ลงทุนในเงินเยน 20%
นายโอมิน ลี นักกลยุทธ์ เศรษฐกิจ มหาภาค, ลอมบาร์ด โอเดียร์ (Head of Portfolio Solutions Asia, Asia Macro Strategist, Lombard Odier) เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในปีนี้มีโอกาสแข็งค่าหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีกประมาณ 2-3% หรือประมาณ 60-90 สตางค์ ซึ่งอาจจะเห็นเงินบาทไปแตะที่ระดับ 28.50-29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ภายหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกรกฎาคมหรือกันยายนลงประมาณ 0.25% และในช่วงเดือนกันยายนและธันวาคมอีก 0.25% ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า แต่ในข่วงเงินบาทแข็งค่าก็เป็นผลบวกต่อกำลังซื้อที่จะมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีกำลังมากขึ้นในการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐาน หรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการพึงพาการส่งออกอย่างเดียว ขณะเดียวกัน ไทยสามารถอาศัยช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขยายตลาดการส่งออกไปยังตลาดในตลาดเกิดใหม่ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นแค่ตลาดสหรัฐฯ อย่างเดียว
“เฟดเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินแล้ว คาดว่าเฟดจะค่อยๆ คัดดอกเบี้ยลง ซึ่งน่าจะมีการลดดอกเบี้ยรอบประชุมกรกฎาคม-กันยายนนี้ และรอดูผลจากการลด และค่อยลดอีกทีในเดือนธันวาคม ซึ่งในส่วนของไทยจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยหลังจากเฟด ทำให้บาทแข็งค่าต่อได้ แต่ไทยใช้โอกาสบาทแข็งค่าลงทุนต่อยอดการเติบโตเศรษฐกิจ”
นายสเตฟาน โมเนียร์ ผู้บริหารงานการลงทุนระดับสูง, ลอมบาร์ด โอเดียร์ ไพรเวทแบงก์ (Chief Investment Officer, Lombard Odier Private Bank) กล่าวว่า การเจรจาข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีนในการประชุม G20 มองว่า มีการส่งสัญญาณที่ดีขึ้น โดยประมาณ 70-80% คาดว่าการเจรจาน่าจะบรรลุข้อตกลงเชิงบวกภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2563 เนื่องจากสงครามการค้าไม่ดีกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยสหรัฐฯ ส่งผลต่อภาคการเกษตรและนักธุรกิจ ส่วนจีนก็ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ และต้องการรักษาการเติบโตเศรษฐกิจไว้ และอีก 20-30% มองว่าเจรจากันไม่ได้ และหากนโยบายการเงินจากธนาคารกลางต่างๆ มาไม่ทัน อาจจะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ในปี 2563
ดังนั้น การลงทุนภายใต้ทางเลือก 2 ทาง มองว่า โลกอยู่ในช่วงท้ายของภาวะเศรษฐกิจโต หากเจรจาการค้าได้ และเฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ลูกค้าไม่ควรมั่นใจ และควรยึดหลักกระจายความเสี่ยง โดยให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 40% หุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลอีก 40% เพราะในช่วงวัฎจักรเฟดลดดอกเบี้ย หากลูกค้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ลูกค้าจะได้รับทั้งดอกเบี้ยและกำไร และที่เหลือ 20% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ในทองคำ หรือเงินเยน-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเยนซึ่งจะเป็นตัวสร้างสมดุล โดยการขายดอลลาร์ซื้อเยน ซึ่งตอนนี้เงินดอลลาร์ห่างจากจุดที่แพงถึง 2%
“เราอยู่ในช่วง late cycle แต่ปัจจัยบวกที่เฟดส่งสัญญาณและการเจรจาไปในทางบวก จะช่วยเราเติบโตไปได้ และไม่เกิดภาวะ Recession และประเทศในตลาดเกิดใหม่ตะได้ประโยชน์จากช่วงนี้ ทำให้นักลงทุนสามารถเจ้าไปลงทุนในตบาดเกิดใหม่ได้ โดยเรายังไม่ได้ให้น้ำหนักในหุ้นมากนัก”
