ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘คลัง’ จ่อกู้ 5 แสนล้าน อุ้ม GDP

โดย ชายคนนั้น
เผยแพร่ :
51 views

‘คลัง’ จ่อกู้ 5 แสนล้าน อุ้ม GDP อัดแพคเกจกระตุ้นรับ ‘ภาษีทรัมป์‘

 

  • ไทยเตรียมอัดฉีด 5 แสนล้าน พยุงเศรษฐกิจสู้ภาษีทรัมป์
  • คลังพร้อมกู้เพิ่ม ยันฐานะการคลังแข็งแกร่ง หนี้สาธารณะคุมได้
  • ทรัมป์ส่งสัญญาณเจรจาภาษี ให้ความหวังไทยลดผลกระทบได้

 

จากกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2568 จาก 2.9% เหลือ 1.8% โดยมีสมมุติฐานจากการประกาศนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ IMF ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงต่ำกว่าระดับ 2% ส่วนในปี 2569 จีดีพีอาจลดเหลือเพียง 1.6%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อมูลของ IMF เป็นการประเมินเบื้องต้น ซึ่งของจริงยังไม่ลดเท่าไร แต่ไม่น่าถึงขนาดนั้น เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงตลอด

ทั้งนี้ นโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจมีผลกระทบบ้าง ซึ่งรัฐบาลประเมินสถานการณ์ใกล้ชิดและพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชดเชยส่วนจีดีพีลดลงเพื่อรักษาให้เติบโตระดับเดิม

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะทำเกิดแรงขับเคลื่อน ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท โดยจะโฟกัสเม็ดเงิน 3 ส่วน คือ 

1.การกระตุ้นการบริโภค 

2.การลงทุนในประเทศ 

3.การออกซอฟต์โลน

 

ส่วนที่มาของแหล่งเงินจะต้องดูเพราะมีหลายทาง โดยขณะนี้ได้หารือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใกล้ชิด

นายพิชัย ตอบคำถามประเด็นแหล่งเงินจะกระทบหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ว่า ไม่อยากให้มองเรื่องหนี้เพราะหลายประเทศมีหนี้สูง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การใช้เงินทำอะไร ซึ่งถ้าทำให้ขนาดเศรษฐกิจเติบโตกว่าเดิมจะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีลดลง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ฐานะการคลังไทยเข้มแข็ง ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ 500,000 ล้านบาท ต้องดูว่าจะทำส่วนไหน ซึ่งมองว่าการกระตุ้นการบริโภคจะเกิดผลได้ไว แต่การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

สำหรับแหล่งเงินยังไม่สรุปว่าจะกู้หรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ต้องดูการสรุปโครงการที่จะชัดเจนในเดือน พ.ค.2568 ตลอดจนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยแหล่งเงินมีหลายแนวทาง คือ

คือ 1.การเกลี่ยงบประมาณ 2.การปรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่ยังเหลือ 150,000 ล้านบาท 3.การให้สถาบันการเงินของรัฐเข้ามาปล่อยสินเชื่อเพื่อเติมเงินเข้าเศรษฐกิจได้อีกทาง

นายลวรณ กล่าวว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% นั้นมองว่าเพดานหนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะหลายประเทศมีหนี้สูงถึง 80% หรือ 100% ก็ยังทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือการกู้เงินมาจะมาทำอะไร รวมถึงดูเรื่องความสามารถในการชำระหนี้คืนด้วย

“หากรัฐบาลเลือกกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท จะกระทบหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่ม 3% เศษ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะเราอยู่ที่ 64.21%” นายลวรณกล่าว

 

 

สบน.ชี้ขยายเพดานหนี้ไม่กระทบเชื่อมั่น 

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.มองว่าสถานะทางการคลังประเทศยังมั่นคง (Stable) และไม่มีสัญญาณอะไรที่จะกระทบแม้การขยายตัวของเศรษฐกิจจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่น เพราะปัจจัยพื้นฐานด้านการคลังของไทยยังดี

รวมทั้ง สบน.หารือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้คาดการณ์ถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนของนโยบายต่างประเทศว่าแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอ โดยเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจากการลงทุนภาครัฐ 

ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.21% ของจีดีพี โดยรัฐบาลกู้ชดเชยขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท และยังมีช่องว่างกู้ชดเชยขาดดุลเหลือ 4,000 ล้านบาท โดยหากต้องกู้ขาดดุลเพิ่มเติมยังนำวงเงินกู้เหลื่อมปีจากปีที่แล้วที่เหลือหลายหมื่นล้านมาใช้ได้ 

รวมทั้งหากรัฐบาลขยับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นก็ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่น เพราะปัจจัยพื้นฐานด้านการคลังไทยอยู่เกณฑ์ดี

เตรียมเงินรับสงครามการค้ายืดเยื้อ

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า การที่รัฐบาลเตรียมจัดหาวงเงิน 500,000 ล้านบาท ดูแลเศรษฐกิจเพราะประเมินแล้วผลกระทบจากสงครามการค้าและภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก และกระทบต่อเนื่องถึงปี 2569 

สำหรับการเตรียมวงเงินไว้จำเป็นเพราะหากเจรจาการค้าไม่ได้ผลหรือไทยไม่ได้ลดภาษีศุลกากรลงจากระดับ 36% รัฐบาลต้องออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจทันที โดยเน้นโครงการที่กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ 

“การเตรียมวงเงิน 5 แสนล้านบาท เป็นการเตรียมความพร้อมเพราะหากผลกระทบสงครามการค้ารุนแรง และกระทบเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมากอาจเตรียมการไม่ทัน ดังนั้นต้องมีแผนและวงเงินไว้ให้พร้อมใช้ได้ทันที” แหล่งข่าว กล่าว 

เปิดทางเลือกออก พ.ร.บ.และ พ.ร.ก.เงินกู้

นอกจากนี้ แนวทางการจัดสรรวงเงิน 500,000 ล้านบาท เป็นไปได้มากที่สุด คือ การกู้เงินเพิ่มเติมเพราะวงเงินที่เหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจงบกลางของงบประมาณปี 2568 เหลือเพียง 157,000 ล้านบาท ส่วนการเพิ่มวงเงินงบประมาณปี 2569 อีก 500,000 ล้านบาท ทำไม่ได้ดังนั้นการกู้เงินเป็นทางออกดีที่สุด 

ขณะนี้ยังไม่สรุปจะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน เพราะหากออกเป็น พ.ร.บ.จะใช้เวลานานและมีขั้นตอนของรัฐสภา ซึ่งหากกฎหมายการเงินไม่ผ่านสภาฯ จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับรัฐบาล 

ส่วนจะออกเป็น พ.ร.ก.ยังติดเงื่อนไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ที่ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีออกกฎหมายเร่งด่วนกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ 

ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมต้องปรึกษากับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ากรณีเล็งเห็นว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯจะก่อนให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในอนาคตรัฐบาลจะสามารถใช้ช่องทางนี้ในการออก พ.ร.ก.กู้เงินได้หรือไม่

“คลัง-ธปท.” นัดหารือออกซอฟต์โลน

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมเรียกหารือนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่า ธปท.อีกครั้ง ในการเตรียมออกเพื่อออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เพื่อเติมสภาพคล่องช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกและซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์

โดยจะมีการพิจารณาปรับเกณฑ์การขอสินเชื่อเพื่อให้ธนาคารลดความเข้มงวด และปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการได้มากขึ้น รวมทั้งพูดคุยในประเด็นอื่นๆ อาทิ นโยบายการเงิน พันธบัตรสหรัฐ และตลาดทุน

ย้อน 5 รัฐบาลออกกม.กู้เงิน 9 ฉบับ 

รายงานข่าวระบุว่า ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มี รัฐบาล 5 ชุดที่กู้เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ได้แก่ รัฐบาลชวน หลีกภัย, รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร, รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

รวมช่วง 5 รัฐบาล มีกฎหมายการกู้เงิน 9 ฉบับ เป็น พ.ร.ก.ที่มีผลบังคับใช้จริง 7 ฉบับ ส่วนอีก 2 ฉบับ เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่ไม่ผ่านการประกาศใช้ ซึ่งมีทั้งที่ถอนออกจากสภาฯ และไม่ผ่านการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

สำหรับ พ.ร.ก.ทั้ง 7 ฉบับที่รัฐบาลมีเหตุผลในการออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม โดยมีการให้เหตุผลว่าเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 7 ฉบับมีรายละเอียด ดังนี้

1.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท โดยออกกฎหมายปี 2541 หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท

2.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน วงเงิน 3 แสนล้านบาท โดยออกปี 2541 เช่นเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ล้มละลาย

3.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สองวงเงิน 7.8 แสนล้านบาท ปี 2545 สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เพื่อดำเนินมาตรการต่อเนื่องในการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูภาคการเงินอย่างยั่งยืน หลังจากที่วิกฤตยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

 4.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ (ไทยเข้มแข็ง) วงเงิน 4 แสนล้านบาท โดยออกปี 2552 ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 จนกระทบเศรษฐกิจโลกจึงกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ

นอกจากการออก พ.ร.ก.รัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงินอีกฉบับวงเงินเท่ากัน แต่ภายหลัง ครม.ตัดสินใจถอนร่างดังกล่าวออกจากสภาฯเพราะเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ

5.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและวางรากฐานการพัฒนาประเทศวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ปี 2555 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังเผชิญมหาอุทกภัยปี 2554

ต่อมาปี 2556 รัฐบาลชุดเดียวกันเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลด้านวินัยการคลังและการตรวจสอบที่ไม่ชัดเจน

6.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ปี 2563 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบ่งใช้เงินออกเป็น 3 ส่วน คือ การสาธารณสุข การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนโครงการขนาดเล็ก

7.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่มเติมวงเงิน 5 แสนล้านบาท ปี 2564 สมัย พล.อ.ประยุทธ์ รองรับการระบาดระลอกใหม่และฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยก่อนออก พ.ร.ก.ได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะจากไม่เกิน 60% เป็น 70%

‘ทรัมป์’ ส่งสัญญาณยอมผ่อน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความเห็นของนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังว่า สหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน เขาไม่คาดว่าการเจรจาจะแข็งกร้าว พร้อมให้คำมั่นว่าจะ “ปฏิบัติกับจีนเป็นอย่างดี” ส่วนภาษีที่จะเก็บกับจีนสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ “ใกล้ๆ” ระดับ 145% อย่างที่ตนกำหนดไว้ ทว่าหากเจรจากันได้อัตราภาษีจะลดลงอย่างมาก แต่จะไม่ถึงกับเป็น 0%

“เราจะดีกับเขามาก เขาก็จะดีกับเรามาก แล้วมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเขาต้องทำข้อตกลง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะค้าขายในสหรัฐไม่ได้” ทรัมป์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายเบสเซนต์กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าในปัจจุบันว่าเป็นการคว่ำบาตรทางการค้า สหรัฐไม่ได้มีเป้าหมายตัดขาดกับจีน สถานภาพปัจจุบันที่สหรัฐเก็บภาษีสินค้าจีน 145% และจีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ 125% จะไม่ยั่งยืน

ขุนคลังสหรัฐกล่าวด้วยว่า ข้อตกลงอย่างครอบคลุมระหว่งสองประเทศจะเกิดขึ้นภายในสองถึงสามปี ทั้งยังย้ำถึงข้อโต้แย้งของตนเองที่ว่า จีนปิดกั้นเศรษฐกิจผู้บริโภค และอุดหนุนภาคการผลิตบนความเสียหายของสหรัฐ หากจะทำข้อตกลงกันก็จำเป็นต้องปรับสมดุลการค้าที่เปิดทางให้สหรัฐผลิตได้มากขึ้น ซึ่งการเจรจากับจีนเพื่อทำข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้เริ่มต้น

‘สี จิ้นผิง’ ย้ำภาษีศุลกากรอัตรายทุกฝ่าย

สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างถ้อยแถลงของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน วานนี้ว่า สงครามภาษีและการค้าบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของทุกประเทศ สร้างความเสียหายต่อระบบการค้าพหุภาคี และส่งผลกระทบต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก

ผู้นำจีนกล่าวระหว่างการหารือกับนายอิลฮัม อาลีเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งว่า จีนยินดีที่จะทำงานร่วมกับอาเซอร์ไบจานเพื่อปกป้องระบบระหว่างประเทศที่มีองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นแกนกลาง และระเบียบระหว่างประเทศบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมอย่างแน่วแน่ ตลอดจนปกป้องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมระหว่างประเทศ

การแสดงความเห็นของประธานาธิบดีสี มีขึ้นตามมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวว่าจะปฏิบัติกับจีนเป็นอย่างดี และอัตราภาษีกับจีนจะลดลงอย่างมากหากมีการเจรจากันได้ แม้ว่าจะไม่ลดลงจนเหลือ 0% ก็ตาม

 

ที่มาเนื้อหาข้อมูล https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1177269

 


ชายคนนั้น