ห้องเม่าปีกเหล็ก

เฟดรอท่าไม่ ขึ้นดอกเบี้ยยิ่งเสี่ยงก่อฟองสบู่ซ้ำรอย

โดย Financial Investor
เผยแพร่ :
74 views

(Feb 17) เฟดรอท่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยยิ่งเสี่ยงก่อฟองสบู่ซ้ำรอย : เมื่อวันที่ 14-15 ก.พ.ที่ผ่านมา เจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นแถลงทิศทางนโยบายเงินและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจของสภาคองเกรส โดยกล่าวว่า เฟดจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ซึ่งจะนำข้อมูลการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อมาประกอบการตัดสินใจในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 14-15 มี.ค.

 ในภาพอาจจะมี 1 คน

"การรอนานเกินไปในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นการกระทำที่ ไม่ฉลาด" เยลเลน กล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันที่ 14 ก.พ. พร้อมเสริมว่าเศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง เนื่องจากตลาดแรงงานมีแนวโน้มตึงตัวยิ่งขึ้นและอัตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2%

 

อย่างไรก็ดี เยลเลนไม่ได้ยืนยันชัดเจนว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้หรือไม่ หลังส่งสัญญาณดังกล่าวเมื่อในการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงไม่ได้เปิดเผยว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ในการประชุมเดือน มี.ค. เดือน พ.ค. หรือเดือน มิ.ย.

 

การรอท่าไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยเสียทีของเฟด ได้เพิ่มความน่าวิตกเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่แตก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐที่ทำสถิติปิดตลาดที่ระดับนิวไฮมาแล้วหลายครั้ง นับจากโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนับตั้งแต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐในปี 2007-2009 สิ้นสุดลง เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงแค่ 2 ครั้ง หรือเมื่อเดือน ธ.ค. 2015 และเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ การตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเกินไป ส่งผลให้นักลงทุนหัน ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการเอาเงินไปฝาก ในธนาคารหรือการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งตลาดหุ้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 8.3% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย. และปิดตลาดเหนือระดับ 20,000 จุดมาแล้วกว่า 10 ครั้งในช่วงปี 2017

 

เช่นเดียวกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ทำนิวไฮไปแล้ว 15 ครั้ง ล่าสุดเมื่อ วันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นในดัชนีพุ่งขึ้นไปแตะ 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 700 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก โดยบริษัท เอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินไดซ์ ซึ่งจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ทะยานขึ้นเกือบ 25% ในช่วงที่ปีผ่านมา หนุนให้มูลค่าปรับขึ้นถึง 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 126 ล้านล้านบาท)

 

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนมุมมองบวกของนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต จากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มการจ้างงาน หรือการหั่นภาษีนิติบุคคลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนในประเทศ แต่ก็เพิ่มความน่าวิตกว่า มูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มเฟ้อเกินจริง โดยบริษัทวิจัยการลงทุนเชฟเฟอร์ส อินเวสต์เมนต์ รีเสิร์ช ในสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีดาวโจนส์มีมูลค่าซื้อขายสูงกว่าระดับ Fair Value หรือราคาหุ้นที่เหมาะสมในตลาด ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. สัญญาล่วงหน้าดาวโจนส์ปรับขึ้นเหนือ Fair Value เกือบ 26 จุด

 

ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของ บินกี้ ชาธา หัวหน้านักกลยุทธ์ระดับโลกจากธนาคารดอยช์แบงก์ ที่ระบุว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ซึ่งปรับตัวขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมานั้น มีมูลค่าสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในอดีตถึง 19 เท่า พร้อมคาดการณ์ว่าดัชนีดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นอีก 15% ในปีนี้ ไปแตะที่ระดับ 2,600 จุด

 

นอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เป็นอีกภาคส่วนที่น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดฟองสบู่แตกหรือไม่ในอนาคต หากเฟดยังไม่ฟันธงรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

บลูมเบิร์กเปิดเผยเมื่อต้นเดือน ก.พ.ว่า ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งครอบคลุมราคาอพาร์ตเมนต์ ร้านค้าปลีก สำนักงาน และอาคารในภาคอุตสาหกรรม จัดทำโดยมูดี้ส์/อาร์ซีเอ ปรับตัวขึ้นกว่า 2 เท่าจากช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยปี 2007-2009 มาอยู่ที่ 23%

 

ด้านข้อมูลจากเฟดระบุว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ พุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ โดยปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 1.97 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 69 ล้านล้านบาท) ซึ่งยอดการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารขนาดเล็ก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 อยู่ที่ 1.22 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 42 ล้านล้านบาท)

 

ฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดัง คาดการณ์ว่า อัตราการเบี้ยวหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 2.4% อยู่ที่ 5.75% ในปี 2017 เนื่องจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวประสบปัญหาในการหาเงินมาจ่ายเงินกู้

 

ด้านราคาบ้านในสหรัฐปรับตัวขึ้นมาเช่นกัน โดยสมาคมบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ เปิดเผยว่า ราคาบ้านใน 89% ของเขตเมืองใหญ่ในสหรัฐปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับ 87% ในไตรมาส 3 โดย ลอว์เรนซ์ หยุน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสมาคม กล่าวว่า ความต้องการซื้อบ้านที่ปรับตัวขึ้น จนส่งผลให้ราคาบ้านพุ่งขึ้นนั้น มาจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 4%

 

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่กระตุ้นให้ทั้งการปล่อยเงินกู้สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ และราคาซื้อบ้านในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น

 

นอกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แล้ว ผู้บริโภคสหรัฐเองก็ชะล่าใจกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

 

รายงานด้านสินเชื่อและหนี้สินภาคครัวเรือนของเฟด ระบุว่า หนี้ภาคครัวเรือนทั้งหมดอยู่ที่ 12.35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 432 ล้านล้านบาท) ในไตรมาส 3 ปี 2016 เพิ่มขึ้นจาก 12.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 429 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสแรกของปีเดียวกัน

 

ตัวเลขดังกล่าวปรับขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 9 โดยหนี้สินจากการกู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่มูลค่าการเบี้ยวหนี้เงินกู้รอบใหม่ทั้งหมดปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.83 ล้าน ล้านบาท) นับตั้งแต่ปี 2005

 

ทั้งนี้ หนี้จากการกู้เงินมาซื้อรถยนต์ถือว่าน่าวิตกที่สุด เนื่องจากหนี้ในส่วนดังกล่าวสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 35 ล้านล้านบาท) และการผิดนัดชำระเงินกู้จากการซื้อรถได้ปรับตัวขึ้น

 

สถานการณ์ล่าสุดดังกล่าวนับเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในระดับต่ำมานานเกินไป และหากเฟดไม่ยอมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของสหรัฐ รวมถึงเพื่อให้ดีมานด์สินทรัพย์และปริมาณการลงทุนสมดุลกัน ความเสี่ยงฟองสบู่ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ อาจกลับมาตอกย้ำซ้ำรอยสหรัฐในอีกไม่นานนี้

 


โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์
Source: Posttoday


Financial Investor