5 หุ้นส่งออก กำลังไปได้ดี รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกจะฟื้น
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า การส่งออกเดือนม.ค.ของปี 64 เพิ่มขึ้น 0.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าที่หลายฝ่ายมองว่าจะทำได้ 2.70% แต่อย่างไรก็ตามถือเป็นการเติบโตเดือนที่ 2 ติดต่อกันด้วยมูล 19,707 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่มีมูลค่า 18,319 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกันหากหักการส่งออกทองคำออกจะเติบโต 6.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของภาค Real Sector ด้วยแรงหนุนจากการส่งออกน้ำมันปาล์ม, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง,รถยนต์, อุปกรณ์ และส่วนประกอบถุงมือยาง,แผงวงจรไฟฟ้า
สำหรับสาเหตุที่การส่งออกในเดือนม.ค.เติบโตเพียงเล็กน้อยส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกทองคำลดลงสูงถึง 90.30% จากปีก่อน ซึ่งหากหักการส่งออกทองคำ โตเด่น 6.27 % สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของภาค Real Sector ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจาการส่งออกน้ำมันปาล์ม,ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง, รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ, ถุงมือยาง, แผงวงจรไฟฟ้า
ทั้งนี้มองว่า การเติบโตของภาคส่งออกของปี 64 ที่ระดับ 3-4 % จากปี 63 ถือว่าน่าจะได้ไม่ยาก ด้วยมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยอยู่ในกรอบ 19,882-20,093 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน และหากสถานการณ์การค้าโลกฟื้นตัวและสามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์ได้เร็วกว่าคาด จะช่วยหนุนให้การส่งออกมีโอกาสปรับตัวขึ้นสูงถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหรือเทียบเท่ามูลค่าส่งออกเฉลี่ย 20,303 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน
ดังนั้น เมื่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มหุ้นที่บริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ การเป็นตัวกลางของการเชื่อมต่อขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และในประเทศ รวมถึงการกระจายสินค้าภายในประเทศที่จะได้รับอานิสงส์ ได้แก่ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD,บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE,บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC,บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX,บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT
PORT เปิดท่าเทียบรอเรือรับสินค้า
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่ารายได้หลักของ PORT ขึ้นอยู่กับยอดส่งออกของประเทศ ซึ่งปรับตัวลงต่อเนื่องในปี 62 ที่ติดลบ 6% จากปีก่อน แต่ในปี 64 คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)คาดกลับมาโต 3%-5% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์คาด 4% , ส่วนเราคาดเติบโต3.8% ขณะที่เส้นทางการขนส่งหลักคือ ไทย-จีน (40% ของรายได้รวม) คาดว่าจะยิ่งคึกคักอีกครั้งจาก
โดยเศรษฐกิจจีน (GDP) กลับมาโต และความร่วมมือ RCEP ในภูมิภาคเอเชียที่ถือเป็นข้อตกลงใหญ่ที่สุดในโลก แม้ต้องใช้เวลาในการบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการ แต่หลายประเทศเริ่มปรับเส้นทางการค้ามาอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกที่ควรจะฟื้นตัวจากปี 63 ประกอบนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯท่านใหม่สร้างแรงกดดันต่อจีนน้อยลง อีกทั้งเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินหยวน โดยปี 63 อ่อนค่า 7% และต้นปีนี้อ่อนค่าอีก 1%
PORT เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่ในสัดส่วนที่มาก ในช่วงที่รายได้ฟื้นตัว กำไรสุทธิจะฟื้นตัวแรงกว่า ซึ่งถ้าอิงประมาณการของเรา รายได้ที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5% เมื่อพิจารณาร่วมกับแนวโน้มกำไรปี 64 ที่จะกลับมาโตจากปีก่อนทุกไตรมาส, การฟื้นตัวพร้อมกันในทุกธุรกิจ, การเติบโตที่ยังสูงของธุรกิจขนส่งทางบก, ธุรกิจล้างและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ที่หมุนเวียนเร็วขึ้นเพื่อลดปัญหาตู้ขาดแคลน
ขณะเดียวกันการขยายธุรกิจใหม่ในครึ่งหลังปี 64 ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 64 จะกระชากแรง 84% จากปีก่อน เป็น 114 ล้านบาท และเพื่อให้สอดคล้องกับรอบของการ Turnaround จึงปรับมาประเมินมูลค่าโดยอิง PER เฉลี่ยในอดีตที่ 25 เท่า (เดิม 15 เท่า) ได้ราคาเหมาะสมปี 64 ใหม่เท่ากับ 4.70 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
WICE ได้เปรียบเพราะมีบริการครอบคลุม
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) รายงานกำไรไตรมาส4/63 อยู่ที่ 59 ล้านบาท เติบโต 291%จากปีก่อน และ 5% จากไตรมาส3/63 ใกล้เคียงตลาดคาด แต่ต่ำกว่าที่เราคาด -10% ปัจจัยหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตามเห็นสัญญาณบวกจากแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นสูง ทำให้ภาพรวมเราคงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 243 ล้านบาท เติบโต +21% y-y รับกระแสกระแส 5G และภาวะตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน
โดยอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเป็นบวก จาก Supply การขนส่งน้อย (เครื่องบินหยุดบินและตู้ Container ขาด) สวนทาง Demand สูงขึ้นตามเศรษฐกิจฟื้นตัว ผสานบริษัทมีลูกค้าหลัก 60% คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มขยายตัวดี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่มูลค่าพื้นฐาน ปี 64ที่ 8.50 บาท
KEX ขนส่งในประเทศขยายไม่หยุด
โดยบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) จำนวนพัสดุขนส่งที่ลดลงจากปีก่อน ในไตรมาส4/62 เป็นผลมาจากภาพรวม E-commerce ที่อ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวมีแนวโน้มในการเติบโตแข็งแกร่ง การเข้ามาของ SF Holding จะสร้าง synergy โดยเฉพาะในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี และจำนวนพัสดุที่เพิ่มขึ้นจากการจัดส่งพัสดุระหว่างประเทศ ทั้งนี้ KEX ยังคงพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้
สำหรับคำแนะนำพื้นฐานเชื่อว่า KEX เป็นผู้ประกอบการจัดส่งพัสดุที่มีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่นในหลายๆ ด้าน นอกจากนี้ synergy ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่าง SF Holding และ KLN จะส่งผลให้บริษัทยิ่งมีจุดแข็งและข้อได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมถึงมี upside ต่อคาดการณ์ปริมาณพัสดุจัดส่งในระยะยาวของเราและตลาด แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 70 บาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด คงประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ที่ 1,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อนบนสมมติฐาน โดยรายได้รวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน เราคาด revenue per parcel ที่ 63 บาท และ parcel volume ที่ 339 ล้านชิ้น จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น มาอยู่ที่ 18% จาก 16.2% จากการประหยัดต่อขนาด
การขยายตัวของ e-commerce หนุนการเติบโตของ KEX ในระยะยาว เราเชื่อมั่นว่าตลาด e-commerce ไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ข้อมูลจาก Frost & Sullivan คาดการเติบโตปี 62-66 มี CAGR ที่ 28% เทียบกับปี 58-62 ที่มี CAGR 24% โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้ 1.การขยายตัวของสังคมเมือง 2) Internet user penetration rate ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ปี 62อยู่ที่ 72% และคาดว่าจะเติบโตเป็น 78% ในปี 64 อิงข้อมูลจาก statista)
JWD ธุรกิจท่าเทียบเรือกำลังจะโต
สำหรับปี 64 ยังคงประเมินกำไรสุทธิจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นเป็น 383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน เพราะธุรกิจยานยนต์จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นสุด โดยประเมินยอดผลิตรถยนต์ปี 64 ที่ 1.6 ล้านคัน 12% จากปีก่อน โดยธุรกิจคลังห้องเย็น จะได้ผลบวกจากคลังห้องเย็นใหม่อาคาร 9, 3) ธุรกิจคลังสินค้าอันตราย จะดีขึ้นต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และ 4) ธุรกิจใหม่ barge terminal (ท่าเทียบเรือ) ที่จะมีการรับรู้รายได้เต็มปี ซึ่งประเมินปริมาณการขนตู้คอนเทนเนอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5-1.6 แสนตู้ เพิ่มจากปี 63 ที่ประมาณ 6 หมื่นตู้ ยังคงราคาเป้าหมายขึ้นที่ 11.70 บาท
SONIC ระบบจัดการโลจิสติกส์ชั้นนำ
บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้น 38% และ 72% เป็น 93-129 ล้านบาท เติบโต 54.7% จากปีก่อน และ +39.2% จากปี 63 ตามลำดับ โดยผลักดันจากฐานจากกำไรที่ยอดเยี่ยมในไตรมาส 4/63 และแนวโน้มปี 2564 ที่ภาคส่งออกของไทยยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า เราคาด ปริมาณรวมโต15% จากปีก่อน ขณะที่ผู้บริหารคาดโต 20%
ขณะเดียวกันปรับสมมติฐานธุรกิจปล่อยสินเชื่อหัวรถลาก จากยอดสะสมปีนี้ 30 คัน เป็น 50 คัน หลังผู้บริหารเผยว่า ได้ทยอยส่งมอบไปแล้ว 8 คันในเดือน ก.พ. และจะครบ 40 คัน ในกลางปีนี้ ก่อนจะจบที่ 50 คันภายในปี 2563 เราประเมินเป็นพอร์ตสินเชื่อสะสม 188 ลบ. ซึ่งเร็วกว่าสมมติฐานเดิมของเรา 60%
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก