โบรกฯส่องคาดการณ์กำไร บจ.ปี′59 พุ่ง 35% เผยกลุ่ม "สื่อสาร-รพ.-ค้าปลีก" รับอานิสงส์นโยบายกระตุ้นลงทุนภาคเอกชนลดหย่อนภาษี 2 เท่า หนุนกำไรเพิ่ม บล.เอเซีย พลัส เปิดรายชื่อ 11 บจ.เข้าข่ายรับผลประโยชน์เต็ม ๆ คาดปี′60 กำไรสุทธิเฉียด 1 ล้านล้าน ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้ผลงาน บจ. ส่วนใหญ่มาจาก "บริหารต้นทุน-ลดรายจ่าย" สมาคมนักวิเคราะห์ฯชี้ ตัวเลขลงทุนภาคเอกชนยังต่ำ เหตุกฎเกณฑ์ภาครัฐไม่ชัด ทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุน
กำไร บจ.ปี′59 โต 35%
แหล่งข่าวจากฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในงวดปี 2559 จะมีกำไรสุทธิประมาณ 8.8 แสนล้านบาท เติบโต 34.89% จากปี 2558 ที่ทำได้ 654,702 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 6.7 แสนล้านบาท โดยในงวดไตรมาส 4/2559 คาดว่า บจ.จะมีกำไรเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 1.85-2.2 แสนล้านบาท ขณะที่ทิศทางกำไรสุทธิในปี 2560คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มประมาณการอีก 3-5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ราว 9.5 แสนล้านบาท
ขณะที่ผลดำเนินงานของ บจ.ในงวดไตรมาส 4/2559 ที่ทยอยประกาศออกมาราว 46 บริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 10 ก.พ. มีกำไรสุทธิรวมกันราว 75,202 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากธนาคารไทยพาณิชย์ 12,715 ล้านบาท, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย 12,478 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย 10,224 ล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ 8,267 ล้านบาท และธนาคารกรุงไทย 7,439 ล้านบาท
11 บจ.รับอานิสงส์มาตรการภาษี
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน โดยให้นำค่าใช้จ่ายการลงทุนในทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรและอาคารถาวรขนาดใหญ่ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่งผลให้ บจ.ได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าวด้วย
โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มาตรการภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน น่าจะเกิดประโยชน์ต่อกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลนักวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ครอบคลุมหุ้น 158 บริษัท หรือคิดเป็น 90% ของมาร์เก็ตแคป) พบว่า กลุ่มหุ้นที่คาดว่าได้รับประโยชน์เต็มจากมาตรการดังกล่าวมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร, โรงพยาบาล และกลุ่มค้าปลีก และพบว่ามีจำนวน 11 บริษัทที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว
"ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ อาทิ สายการบิน, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, ยานยนต์, โรงแรม, อสังหาฯ, อาหาร, เหล็ก, นิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มขนส่งทางบก ส่วนใหญ่ได้สิทธิภาษีจาก BOI อยู่แล้ว และล่าสุด ครม.ยังได้มีมติต่ออายุมาตรการออกไปอีก 1 ปี แต่มีการปรับเงื่อนไขให้ลดหย่อนภาษีจ่ายลดลงเหลือ 1.5 เท่าของเงินลงทุน ซึ่งโดยรวมน่าจะเร่งให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนที่พร้อมจะลงทุนอยู่แล้วมากขึ้น"
"สื่อสาร-รพ.-ค้าปลีก"รับเต็มๆ
กลุ่มแรกที่จะได้รับประโยชน์มากสุดคือกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) โดยจากปี 2559 เอไอเอสมีการลงทุนใหม่ราว 4 หมื่นล้านบาท ส่วนดีแทคอยู่ที่ราว 1.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ปีที่ผ่านมา เอไอเอสประหยัดภาษีจากมาตรการดังกล่าวราว 1.6 พันล้านบาท และดีแทคประหยัดภาษีราว 680 ล้านบาท
สำหรับในปี 2560 ซึ่งทางเอเซีย พลัส ประเมินว่า ทั้งสองบริษัทจะลงทุนโครงข่ายเพิ่มเติมราว 3 หมื่นล้านบาท และ 1.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยให้นำค่าเสื่อมราคา (ตัดจ่าย 5 ปี) ไปลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมในปี 2560-2564 ได้ปีละ 3 พันล้านบาท และ 1.7 พันล้านบาท จึงคาดว่าจะช่วยให้เอไอเอสประหยัดภาษีเพิ่มขึ้นปีละ 600 ล้านบาท และดีแทคประหยัดภาษีเพิ่มปีละ 340 ล้านบาท โดยจะมีผลต่อประมาณการกำไรของเอไอเอสในปีนี้ราว 7.8% และดีแทคราว 38.4%
ทั้งนี้ สำหรับกรณี บมจ.ทรู คอร์ป เนื่องจากงบฯลงทุนส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ข้อตกลง Vendor Financing (ผ่อนส่ง/เช่าซื้อทรัพย์สิน) กับซัพพลายเออร์ ซึ่งไม่ตรงตามเงื่อนไขรัฐ จึงไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว
กลุ่มต่อมาคือโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ใหม่ทุกปี และไม่ได้รับการสนับสนุนจาก BOI จึงได้ประโยชน์จากมาตรการนี้โดยตรง โดย บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ปีที่ผ่านมามีการลงทุนราว 1,829 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีการลงทุนใหม่ราว 2,250 ล้านบาท ซึ่งจะประหยัดภาษีได้ราว 150 ล้านบาท และ 184 ล้านบาท ตามลำดับ คาดว่าจะมีผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น 2%
ขณะที่ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ปีที่ผ่านมามีการลงทุน 257 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีการลงทุนเพิ่ม 320 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยบริษัทประหยัดภาษี 50 และ 70 ล้านบาท ส่วน บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ปีที่ผ่านมามีการลงทุนราว 355 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้มีการลงทุนใหม่ราว 728 ล้านบาท ช่วยประหยัดภาษี 51 ล้านบาท และ 105 ล้านบาท ตามลำดับ
อุตฯได้สิทธิบีโอไอ-ไม่มีเอี่ยว
สุดท้ายกลุ่มค้าปลีก ซึ่งโดยรวมอาจได้ผลประโยชน์น้อยสุด แม้มีแผนลงทุนการขยายสาขาต่อเนื่อง (นำค่าเสื่อมราคาไปลดหย่อนภาษีได้ทุกรูปแบบ) โดยประเมินจากข้อมูลว่า บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC), บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO), บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) และ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) จะมีแผนลงทุนขยายสาขา คิดเป็นมูลค่า 7,600 ล้านบาท, 4,000 ล้านบาท, 3,200 ล้านบาท, 2,400 ล้านบาท และ 4,500 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งคาดจะช่วยให้มีรายจ่ายค่าเสื่อมราคา (ทุกรายตัดจ่ายราว 15 ปี ยกเว้น MAKRO ที่ตัดจ่าย 25 ปี) ทำให้แต่ละบริษัทประหยัดภาษีได้เพิ่มขึ้นปีละ 51 ล้านบาท, 16 ล้านบาท, 27 ล้านบาท, 32 ล้านบาท และ 30 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลบวกต่อกำไรสุทธิไม่น่าจะมีนัยสำคัญ เพราะแต่ละรายจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับประมาณการเดิม
นอกจากนี้ กลุ่มที่คาดว่าได้รับประโยชน์บางส่วน คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) แม้จะมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานใหม่ราว 1 พันล้าน และ บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ (HANA) เตรียมงบฯลงทุนราว 650 ล้านบาท เป็นลงทุนเครื่องจักรระบบอัตโนมัติใหม่ที่โรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา ราว 500 ล้านบาท และปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์และระบบเครื่องจักรอัตโนมัติภายในโรงงานอีกราว 150 ล้านบาท แต่ทั้งสองบริษัทได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากปัจจุบันก็ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI เป็นส่วนใหญ่
ชี้ บจ.คุมต้นทุน-ลดค่าใช้จ่าย
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิของ บจ.ดูเติบโตดี แม้รายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก หลัก ๆ มาจากการบริหารจัดการต้นทุนของแต่ละบริษัทที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้ลดลง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กำไรของ บจ.ไทยยังขยายตัวได้ในระดับสูง แม้ว่าทิศทางรายได้จะเติบโตไม่มาก
นอกจากนี้ บางส่วนก็ได้รับอานิสงส์จากมาตรการของภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนที่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีกลับมาบันทึกเป็นกำไร แต่เชื่อว่าเป็นเพียงส่วนน้อย เนื่องจากโดยรวมเท่าที่เห็นยังไม่ค่อยมีเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นเงินลงทุนของภาครัฐมากกว่า
กฎเกณฑ์รัฐไม่ชัด-ไม่กล้าลงทุน
นายไพบูลย์นลินทรางกูรประธานเจ้าหน้าที่บริหารบล.ทิสโก้และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า บจ.ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนของเอกชนคงจะไม่มาก เพราะโดยรวมตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนยังโตไม่มาก การลงทุนภาคเอกชนปี 2559 เติบโตเพียง 1% จากปีก่อน แต่ถือว่ายังดูดีกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีการเติบโตหรือติดลบ
อย่างไรก็ตามมองว่าปีนี้การลงทุนภาคเอกชนน่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่คงไม่มาก เพราะหลายคนยังรอความชัดเจนของนโยบาย ซึ่งที่ผ่านมาเห็นกระจุกตัวเพียงบางอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะเห็นกิจกรรมการลงทุนเกิดขึ้นอย่างชัดเจน น่าจะรอไป 2-3 ปีหลังจากนี้ เพราะการลงทุนตามเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ปัจจุบันยังเป็นแค่การเปิดซองประมูลสัญญาการก่อสร้าง ซึ่งต้องรอให้มีการใส่เม็ดเงินชัดเจนก่อน
"ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยถือว่ายังโตต่ำกว่าศักยภาพ ขณะที่ปีนี้หากจะให้จีดีพีเติบโตได้ 4% ตามที่ภาครัฐต้องการ ก็น่าจะเกิดการกระตุ้นการลงทุนเพิ่มมากขึ้น อีกด้านที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนได้ คือ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่มาเร็ว ซึ่งอาจผลักดันให้ภาคเอกชนต้องเตรียมตัวระดมทุนเพื่อล็อกต้นทุน หรือรีบลงทุนมากขึ้น ก่อนที่ต้นทุนทางการเงินจะปรับเพิ่มขึ้น" นายไพบูลย์กล่าว
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอกชนยังไม่กล้าเร่งลงทุนในช่วงนี้ คือ ความเสี่ยงทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ยกตัวอย่างปัจจุบันขนาดการทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังเกิดปัญหาตามมาได้ ซึ่งความชัดเจนของกฎเกณฑ์ และความแน่นอนของการเมือง คือสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ เพราะหากมีการเลือกตั้งขึ้นมาแล้ว รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ไม่เอาด้วยก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้อีก
"ตอนนี้ที่ทุกคนเป็นห่วงคือความไม่แน่นอนของนโยบายการเมืองที่จะสนับสนุนของรัฐบาลความต่อเนื่องของนโยบายและความชัดเจนของนโยบาย"นายไพบูลย์กล่าว