ห้องเม่าปีกเหล็ก

4 ผู้อยู่รอดในกลุ่มค้าปลีก

โดย Durant
เผยแพร่ :
64 views

CPALL-BJC-CRC-MARKO 4 ผู้อยู่รอดในกลุ่มค้าปลีก

กลุ่มค้าปลีกถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้ทั้งปัจจัยบวกและลบ จากการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่แม้ว่าจะมีการปิดห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และศูนย์การค้า ทำให้รายได้ค่าเช่าหายไป รวมถึงการลดค่าเช่าเพื่อช่วยเหลือเหลือผู้เช่าบางส่วน


แต่ในทางกลับกันซูปเปอร์มาร์เก็ต กลับได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเกินคาด การประกาศสั่งร้านขายของปิดทุกร้านในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 24.00-05.00 น. นั้นยังถือเป็นปัจจัยลบที่ไม่ส่งผลกระทบเลย เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มีการใช้บริการน้อยมาก


โดยฟากผู้เชี่ยวชาญ อย่าง บล.หยวนต้า  (ประเทศไทย) ให้มุมมองผ่านบทวิเคราะห์ว่าจากผลกระทบจากไวรัส COVID-19 คาดเห็นภาพการชะลอตัวของแรงซื้อโดยรวมที่เกิดขึ้นในกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะ นับจากกลางเดือน มี.ค และมีประกาศล็อกดาวน์เริ่มต้นที่ จ.กรุงเทพฯและปริมณฑล 6 จังหวัด โดยในจ.กรุงเทพฯ ขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ ไปถึง 30 เม.ย. จากเดิม 12 เม.ย.


ขณะเดียวกันมีการขยายการปิดสถานที่เพิ่มจากเดิม 26 แห่ง เป็น 34 แห่ง  ขณะที่จังหวัดอื่น ๆที่มีการล็อกดาวน์เพิ่ม ในทุกภาคในประเทศไทย เช่นเชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี บุรีรัมย์ ภูเก็ต พังงานฯลฯ (เงื่อนไขแล้วแต่จังหวัด) ขณะที่สินค้าเพื่อการยังชีพยังสามารถเปิดได้คือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยาได้

 

 

จับตา ยอดขายสาขาเดิมไม่ลดลง

ซึ่งบริษัทที่ได้อานิสงส์ยังคงเป็น CPALL - MAKRO- BJC- CRC ขณะที่โดยรวมของกลุ่มฯที่มีสินค้าขายนอกเหนือจากสินค้าเพื่อยังชีพได้รับผลกระทบเช่น HMPRO- DOHOME - MC ทำให้ SSSG เฉลี่ยของกลุ่มฯใน 1Q63  คาดการณ์ได้ไม่ชัดเจน ประเมินในเบื้องต้นอยู่ระหว่างเติบโตได้ 1% หรือลดลง 1%

 

 

หั่นกำไรค้าปลีกปีนี้เหลือ 4.6 หมื่นลบ. เซ่น COVID-19

คาดการณ์เบื้องต้นผลกระทบของแรงซื้อมีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง 2-3เดือน รวมถึงผลกระทบ COVID-19 ต่อเนื่องไปยังภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง  ซึ่งมีผลต่อการรับรู้รายได้และกำไรที่ลดลง โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 63  และ 64 ของกลุ่มลดลง 7% และ 13% อยู่ที่  4.6 หมื่นล้านบาท และ 4.9 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เรายังติดตามสถานการณ์ของ COVID-19 ว่าจะคลี่คลายในช่วงเวลาใด ซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของผลประกอบการของกลุ่มฯโดยรวม และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องไปจนถึงปี 64

 

BJC-CPALL-CRC ส้มหล่นล็อกดาวน์

แนะนำซื้อ  BJC CPALLและเก็งกำไร CRC จากผู้ประกอบการที่ได้อานิสงส์ จากการล็อกดาวน์ในประเทศทำให้มีการซื้อสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคไว้สำรอง โดยธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ยังเป็นสินค้าเพื่อการดำรงชีพที่มีความจำเป็นเปิดดำเนินการได้ และมีการขายสินค้าผ่าน Online ซึ่งยังคงช่วยเพิ่มแรงซื้อเพิ่ม


โดยโรคระบาด COVID-19 ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการปรับลดของราคาตลาดของกลุ่มค้าปลีกไปพอควร จากราคาปัจจุบันมีการซื้อขายในระดับ PE เพียง 20.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีที่ 30 เท่า สอดคล้องกับ PBV ที่ 3.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 4.8 เท่า

 

 

CPALL ยังแกร่ง แม้เจอเคอร์ฟิวปิดให้บริการหลังเที่ยงคืน

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้มีมุมมองถึง  CPALL ว่า ผลกระทบ CPALL มากขึ้นจากก่อนหน้านี้ปรับเวลา 4 จังหวัดแต่กระทบจำกัด เพราะแม้จำนวนสาขาในกทม.และปริมณฑล เป็นสัดส่วน 44% ของสาขาทั้งหมด แต่รายได้ในช่วงเวลากลางคืนน้อยอยู่แล้ว และอาจลดให้ค่าไฟค่าพนักงานลงได้ ถือว่าถูกกระทบน้อยกว่าธุรกิจอื่นและยังแข็งแกร่งมาก แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 85 บาท

 

 

BJC กำไรปีนี้ยังทรุด ลุ้นปีหน้าฟื้น

ขณะเดียวกัน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังได้ให้มุมมองผ่านบทวิเคราะห์ ถึง BJC ว่าแม้การกักตุนสินค้าจะทำให้ SSSG เดือน มี.ค. เป็นบวก 1-2% แต่ชดเชยไมได้กับ 2 เดือนแรกที่ติดลบและการปิด Hypermarket บางโซนและส่วนของพื้นที่เช่า 80 สาขา หรือครึ่งหนึ่งของสาขา HM ทั้งหมด


เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส1/63 ราว 1.5-1.6 พันลบ. ทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนแต่ลดลงมากจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนแนวโน้มกำไรจะแย่ลงในไตรมาส2/63 จากการขยายเวลาปิดสถานที่ต่างๆ (กระทบธุรกิจ packaging ซึ่งมี high season ในเดือน เม.ย.) บนสมมติฐาน COVID-19 คลี่คลายกลางปีนี้ ธุรกิจค้าปลีกจะค่อยๆฟื้น


ซึ่งได้ปรับกำไรสุทธิปีนี้ลง 10% เป็น 6.3 พันลบ.หรือลดลง 13% จากปีก่อนหน้าและคาดฟื้นปี 64 หรือเติบโต 23% จากปีก่อนหน้า พร้อมทั้งปรับเป้าลงเป็น 46 บาทจาก 54 บาท แต่ยังแนะนำซื้อลงทุนยาว         

 

 

CRC กำไรปี 63 ลดลง 8%เซ่น COVID-19 แต่ปี 64 ฟื้นตัว

สุดท้าย บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มีความเห็นเกี่ยวกับ CRC ผ่านบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์กำไรปกติปี 63 จะอยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน  ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและการระบาด COVID-19 ซึ่งจะกระทบมากต่อกำไรในครึ่งปีแรกปี63 (โดยเฉพาะที่อิตาลีซึ่งมีการระบาดรุนแรงมากของ COVID-19)


รวมถึงส่งผลให้รายได้รวมปี 63 เติบโตเพียง +1% จากปีก่อน ตามรายได้จากกลุ่ม Fashion และ Hardline จะลดลงที่ติดลบ 5% และติดลบ 1% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มอาหารจะเติบโต 4% จากการกักตุนอาหารช่วงครึ่งปีแรกปี63 อย่างไรก็ตามกำไรปกติปี 64 จะกลับมาเติบโตที่ 8.2 พันล้านบาท หรือเติบโต 22% จากปีก่อนหน้า หนุนโดยรายได้กลุ่มธุรกิจอาหารที่เติบโตต่อเนื่อง , กลุ่ม Hardline และ Fashion จากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านพ้นภาวะ COVID-19.

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant