
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปี เมื่อ 9 ก.พ.2565 ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 : 0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ต่อปี ต่อไป ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด (ผลสำรวจของ Bloomberg นักเศรษฐศาสตร์ 24 สำนักมองตรงกันว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50%) โดยกนง. ให้เหตุผลว่า
แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และการระบาดของ COVID-19 สายพันธ์ Omicron จะกดดันต่อระบบสาธารณสุขในวงจำกัด ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจลดลง แต่ยังคงต้องติดตามการระบาดในระยะต่อไป
อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในช่วงแรกของปี 2565 มาจากราคาพลังงานและอาหารสดบางประเทท มากกว่าเงินเฟ้อจากอุปสงค์ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนว่ากำลังซื้อเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น กนง.จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
กนง. ยังคงเชื่อว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และมองเงินเฟ้อในปี 2565 แม้ว่าช่วงแรกของปี 2565 จะมีแนวโน้มสูงกว่าที่ประเมินไว้ จากแรงกดดันของราคาพลังงานและราคาอาหารสดบางประเภท แต่เชื่ออัตราเงินเฟ้อทั้งปีจะยังคงอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้คือ 1-3%
ด้านสภาพคล่อง กนง. ยังคงมองอยู่ในระดับสูง ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ยังมีความผีนผวนจากการปรับเพิ่มอัตราดอกบเยของธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักที่เร็วขึ้น ซึ่ง กนง. จะทำการติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินโลกอย่างใกล้ชิด
กนง.มองภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 65 จากการส่งออกสินค้าที่ปรับสูงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางที่เร็วกว่าคาด อย่างไรก็ตามภาคการท่องเที่ยวยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาด และเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง ซึ่งยังต้องเฝ้าติดตามพัฒนาการของตลาดแรงงานและผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นในภาวะที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
ปิดท้ายกับมุมมองของ กนง.คาดว่า GDP จะกลับสู่ระดับปกติเท่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 ในปลายปี 2565 หรืออย่างช้าต้นปี 2566
จากรายงานการประชุมของ กนง. สรุปออกมาได้สั้นๆว่า กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น ผลกระทบจากโอมิครอนมีจำกัด แม้เงินเฟ้อจะแรงเกินคาดและอากรสูงกว่ากรอบใน 1H65 แต่ยังคงมองว่าไม่จำเป็นขึ้นดอกเบี้ย เพราะอาจไปฉุดให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวแย่ลง แม้จะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อก็ตาม
ประเมินผลการประชุมของ กนง. ชี้ชัดว่า กนง.เห็นความสำคัญต่อเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องเงินเฟ้อเร่งตัว ดังนั้นคาดว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ยาวไปจนถึงครึ่งปีหลังของปีนี้ และไปรอติดตามทิศทางของเงินเฟ้อจะเร่งตัวมากขึ้นขนาดไหน หากยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 3% เชื่อว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนถึงสิ้นปี แต่หากเงินเฟ้อยังคงพุ่งไม่หยุดและเรื้อรังลากยาวเกินกว่า 3% นาน กนง.ก็ต้องจำยอมขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่า กนง. ยังคงให้ความสำคัญต่อทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน หากค่าเงินบาทเกิดพลิกกลับไปอ่อนค่าอีกครั้ง จากการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักๆของโลก คาดว่า กนง. จะต้องมีการใช้เครื่องมือทางการเงินในการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น เพราะหากปล่อยเงินบาทอ่อนค่านาน ราคาพลังงานในรูปบาทที่จะต้องนำเข้าก็จะสูงขึ้น ดึงให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นไปอีก
ด้วยกระแสของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักๆของโลก เชื่อว่าจะทำให้ กนง.ไม่สามารถฝืนคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปีหน้าได้ เพราะจะมีผลโดยตรงต่อการโยกย้ายเงินระหว่างประเทศ และทิศทางเงินบาท รวมไปถึงความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อในระยะถัดไป เพราะฉะนั้นจึงคาดว่าในปี 2565 กนง.น่าจะต้องมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25-0.50% หรือ 1-2 ครั้ง เร็วที่สุดคือ ก.ย.65 และอย่างช้าคือ ธ.ค.65
https://www.thunhoon.com/article/251663