คนรุ่นใหม่ กับ การเมืองไทยแบบมียุทธศาสตร์
คนรุ่นใหม่ คือความหวังของประเทศไทย ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง การเห็นคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในยุคนี้ เหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่การแสดงความคิดเห็นที่จะสัมฤทธิ์ผล ต้องไม่ใช่รูปแบบเดิม ควรเป็นการเดินหน้าแบบมียุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยพาคนทุกรุ่นไปข้างหน้า ผ่านการจัดลำดับความคิด และเป้าหมายสูงสุดของการสร้างความเปลี่ยนแปลงต้องชัดเจน นั่นคือ “การสร้างความเจริญให้ประเทศ สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
เป้าหมายการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่นอกจากต้องชัดเจนแล้ว ยังควรมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ หรือมีการทำเป็นรูปเล่มและเป็นขั้นเป็นตอน โดยกลุ่มนักศึกษาควรตั้งทีมศึกษารัฐธรรมนูญ และร่างสิ่งที่ต้องการแก้ไขเป็นบรรทัด เป็นข้อความ สิ่งไหนยอมได้ สิ่งไหนต้องการให้เปลี่ยนเป็นอะไร เช่น หากต้องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสว. ต้องการจะให้สูตรใหม่เป็นอย่างไร ทางเลือกคืออะไร ก็ต้องตั้งทีมงานขึ้นมาคิดพิจารณา ทำเป็นขั้นตอน แล้วเสนอสู่สาธารณะ หาแนวร่วมเชิงนโยบาย เพราะหากกำหนดเป้าหมายระยะสั้น เพียงแค่การแก้รัฐธรรมนูญ การยุบสภา หรือแค่การพูดลอยๆ สุดท้ายแล้ว เมื่อการประท้วงเดินไปจนสุดทาง ก็จะมีกลุ่มตาอยู่ เข้ามาจัดระเบียบและกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ ที่ไม่ได้แก้ปัญหาอยู่ดี วนเวียนเป็นวัฎจักรเช่นที่ผานมา
ปัญหาแท้จริงของประเทศไทยอยู่ที่ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และที่สำคัญที่สุดคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ไม่ละเว้น เมื่อมีการกระทำความผิด ก็ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่ที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีการประท้วงหรือปฏิวัติสักกี่ครั้ง ก็ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้อย่างจริงจัง เพราะต้นตอของปัญหา คือ ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ของคนหลาย ๆ กลุ่มที่มีอำนาจของประเทศยังไม่ได้แก้
คนแบบไหนที่เราอยากได้มาบริหารประเทศ?
ทางเลือกของประเทศไทยในวันนี้ คือ
1. หากนักการเมืองได้อำนาจเข้ามาบริหารประเทศ ผู้ที่ชนะเลือกตั้ง ก็ยังคงเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จึงสามารถระดมคะแนนเสียงจากหัวคะแนนได้ ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายในการเลี้ยงฐานเสียง ดังนั้น หากได้รัฐบาลมาจากฝั่งนักการเมือง ก็จะยังได้ยินคำว่า แย่งจานข้าว แบ่งผลประโยชน์ แบ่งกระทรวงกันแบบไม่สนใจยุทธศาสตร์ของชาติกันเลย คงหมดหวังที่จะมองหาโครงการระยะยาวเพื่อพัฒนาชาติอย่างจริงจัง ดังนั้น หากประท้วงเพื่อกลับสู่มือนักการเมืองน้ำเน่า ก็เป็นการเหนื่อยเปล่าและเสียของ
2. หากทหารได้อำนาจมาบริหารประเทศ ก็จะไม่เข้าใจเศรษฐกิจ ปัญหากลุ่มก้อน พวกพ้อง ความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณ การแก้กฎหมายที่เน้นการจัดระเบียบ และการสืบทอดอำนาจก็ยังมีอยู่
3. หากได้นักกฎหมาย นักวิชาการ มาบริหารประเทศ ก็จะใช้เวลาไปกับการแก้กฏหมาย การออกกฎระเบียบ การไม่เข้าใจเศรษฐกิจ และไม่เข้าใจว่า ประเทศไทยมีกฎหมายมากมายเกินไปแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ประเทศไทยไม่เคารพกฎหมาย กฎระเบียบ และที่สำคัญ การเพิ่มขั้นตอนก็เป็นการเพิ่มโต๊ะในการคอร์รัปชั่น
แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะได้กลุ่มไหนมาบริหารประเทศ เมื่อเข้าสู่อำนาจ สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าทำก็เพราะ ทำอะไรก็จะกลับมากระทบตัวเอง จึงไม่กล้าแตะ กลัวตัวเองจะเดือนร้อนภายหลัง ทำให้ทุกคนเลือกทำแต่สิ่งที่จะไม่ถูกคดีกลับมาพันคอภายหลัง หรือมีความเสี่ยงที่จะโดนปปง.ตรวจสอบ เข้าข่าย “ไม่ทำ ไม่ผิด” ปัญหาของประเทศไทย จึงไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและลุล่วง
แต่ประเทศไทยวันนี้ ต้องการคนเก่ง คนที่เสียสละ คนที่มีความกล้าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง เราต้องการคนที่กล้าเข้ามารื้อระบบราชการ คนที่กล้าเข้ามาเปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนกฎระเบียบที่ล้าสมัย คนที่จะบอกว่า “ผมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
ถ้าคนรุ่นใหม่ดูบอล จะมีการจัดดรีมทีมในฝัน หากคนรุ่นใหม่ มองเห็นคนที่จะมานำประเทศ คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ทำไมไม่สะท้อนออกมาว่า คนแบบไหน ที่ประเทศต้องการ ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ และเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง คนเหล่านี้จะมีโอกาสในการชนะเลือกตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่หากเราไม่หนุนคนเก่ง คนดี คนกล้ามาบริหารประเทศ ตอนเลือกตั้งคนเหล่านี้ก็จะแพ้ แต่หากคนรุ่นใหม่ ระบุคนเก่งในสาขาต่าง ๆ และชูคนเหล่านี้ มาช่วยกันเขียนนโยบาย เมื่อการเลือกตั้งมาถึง เขาจะเป็นความหวังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ใช่หาเสียงเพียงแค่ช่วงเลือกตั้งเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต้องเอารากเหง้าไปด้วย
วันนี้คนรุ่นใหม่ออกมา แต่การเมืองก็ยังไม่ดีขึ้น ยังคงเวียนอยู่ในวังวนเดิม ดังนั้น คนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้จากอดีต เช่น 14 ตุลา ว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ให้เกิดความรุนแรง ไม่เสียเลือดเสียเนื้อ ขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ให้จบท้ายด้วยการปฏิวัติ ขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ให้จบท้ายด้วยนักการเมืองน้ำเน่าเข้ามาบริหารประเทศ ขับเคลื่อนอย่างไร ยังรักษาของดี แต่บุกเบิกของใหม่ได้
ประเทศไทยมีรากเหง้าเป็นรูปแบบของตัวเอง เราจะเปลี่ยนทุกอย่างดั่งใจเราไม่ได้ อะไรที่ประเทศไทยยึดถือ ก็ต้องดำรงไว้ แต่ต้องสร้างศรัทธาให้คนไทยทั้งประเทศพร้อมเปลี่ยนแปลง อย่าให้เกิดบรรยากาศสีเหลือง สีแดงแบบในอดีต เพราะจะมีการนำคนมาล้มกันไป ล้มกันมา จึงไม่ควรสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยบอกว่า เป็นการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ เพราะถ้าคนรุ่นใหม่ไม่เอาคนรุ่นอื่นไปด้วย ก็จะมีคนมาล้มความคิดของคุณอีกอยู่ดี จนอาจเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ดังนั้น ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ แต่ต้องให้คนกลุ่มใหญ่ของประเทศเห็นด้วย และรักษาสิ่งที่ดีไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนทุกเรื่อง แต่ต้องรู้ว่า เปลี่ยนอะไรแล้วจะทำให้ประเทศไทยกินดีอยู่ดี แข่งขันกับนานาประเทศได้ ต้องมองภาพใหญ่เป็นหลัก
ต้องสร้างเปลี่ยนแปลง โดยไม่เป็นเครื่องมือการเมืองไทย ไม่เป็นเครื่องมือการเมืองโลก
หลังศาลให้ประกันตัว ประเด็นการรวมตัวจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น การจัดกลุ่มหลังการจับกุมจะเริ่มเห็นหลายกลุ่มก้อน การเมืองจะเข้ามาร่วม ได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหว รัฐจะเพิ่มความระมัดระวังตัว ไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะจะเสี่ยงต่อการสร้างเงื่อนไข ในขณะที่ระดับการเมืองในประเทศ จะเริ่มออกมาแสดงตัว ยืนเคียงข้างคนรุ่นใหม่ เพื่อเกาะเกี่ยวผลประโยชน์ในการดึงกระแสมวลชน ในขณะที่ระดับการเมืองโลก ก็จะเริ่มมีหน่วยงานสิทธิมนุษยชน เข้ามาสนับสนุนผู้ทำการประท้วง เพื่อถ่วงดุลอำนาจระดับโลก ในการเข้ามามีอิทธิพลเหนือประเทศฝั่งอาเซียน
กลุ่มเคลื่อนไหวจึงต้องมีจุดยืนให้ชัดว่าออกมาทำอะไร มีเป้าหมายในการสร้างความเจริญให้ประเทศใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นจะเป็นกลไกที่เอื้อประโยชน์การเมืองแบบเดิม สุดท้ายคนที่จะเข้ามาชุบมือเปิบ จากความเหนื่อยยากของคนรุ่นใหม่ ก็คือพวกนักการเมืองน้ำเน่า เล่นการเมืองแบบเดิม ๆ หากเกิดความรุนแรง ทหารก็จะกลับมาได้อีกเหมือนในอดีต
ดังนั้น การสร้างความเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ในครั้งนี้ ต้องมีผังยุทธศาสตร์ที่เดินหน้าสู่การมีคนรุ่นใหม่ ที่มีคุณธรรม มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศผ่านการเลือกตั้ง ให้มีจำนวนมากพอ ให้มีเอกภาพ โดยความคิดไปข้างหน้าแบบไม่ลืมรากเหง้า พาคนไทยไปด้วยกัน ซึ่งเป็นความท้าทายและเป็นความหวังในเวลาเดียวกัน
รัฐต้องจริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นต้องแก้ทั้งเล่ม คนรุ่นใหม่ ต้องเรียกร้องให้แก้ที่ความเป็นธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องศึกษาทางเลือก และข้อเสนอแบบเป็นรูปธรรม ต้องออกมาให้สังคมยอมรับข้อเสนอใหม่ เป็นรายละเอียด ไม่เอาแบบคร่าว ๆ หรือลอย ๆ จับต้องไม่ได้ แล้ววางเป้าหมายไปที่การเลือกตั้งตรง ๆ เมื่อได้ข้อเสนอแล้ว เงื่อนไขในการเรียกร้อง ต้องไม่แตกประเด็น และควรใช้เวลาที่เหลือไปคิดว่า หากมีโอกาสเลือกตั้งแล้ว และมีความเป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะเอาใครมาบริหารประเทศ หรือจะได้นักการเมืองหน้าเดิม ๆ กลับมาอีก หากเป็นเช่นนั้นประเทศชาติก็คงต้องแบ่งจานข้าวกันเหมือนเดิมตามโควตา
วันนี้หากคนรุ่นใหม่ เรียกร้องประเด็นที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ยอมรับ นอกจากจะเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้แล้ว จะเสี่ยงต่อการนำมาซึ่งความขัดแย้งและบานปลาย สุดท้ายคนที่แพ้ก็คือประเทศไทยอีกเหมือนเดิม ในยามวิกฤตเศรษฐกิจโลกแบบนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การขาดความสามัคคีในชาติ ดังนั้น หากคนรุ่นใหม่ อยากชนะรัฐบาล ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า สามารถซื้อใจคนทั้งชาติให้เห็นด้วยกับแนวคิดและข้อเสนอ เพราะหากคุณหาแนวร่วมคนทั้งชาติไม่ได้ ก็จะมีคนมาล้มแนวคิดคุณในอนาคตอยู่ดี เพราะประเทศไทย มีคนคิดเยอะ แต่มีคนกล้าทำน้อย
การบริหารประเทศไทยนั้น ปัญหาอยู่ที่ระบบไม่เอื้อ แม้จะให้คนเก่งที่สุดในโลกมาบริหารก็ไปไม่รอด ไม่ว่าทำอะไร ก็ผิดระเบียบ แม้แต่ข้าราชการประจำยังขย่มขวัญรัฐมนตรีได้ว่า ทำอันนั้นติดคุก ทำอันนี้ไม่ได้ ทำให้นักการเมืองเลือกทำเรื่องที่ไม่เสี่ยง แต่ได้เงินเข้าพรรคดีกว่า จะทำให้ถูกจึงต้องรื้อหรือยกเครื่องระบบราชการใหม่ รื้อกฎหมายขั้นตอนที่ล้าสมัย รื้อระบบจับผิดของภาครัฐ เปิดโอกาสให้กล้าตัดสินใจหรือทำเรื่องใหม่ ๆ โดยพิจารณาตามเจตนา แต่ไม่ใช่กลัวคอร์รัปชั่นไปหมด จนไม่ทำอะไรเลย ทำให้ประเทศล้าหลัง นอกจากคนรุ่นใหม่จะเสนอเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หากจะช่วยเสนอเรื่องการปฏิรูปภาครัฐเป็นขั้นเป็นตอน ถึงจะเห็นการขับเคลื่อนประเทศได้จริง
ทุกประเทศขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจ
คนรุ่นใหม่ ต้องเข้าใจกลไกการแข่งขันในระดับโลก หากประเทศไทยอ่อนแอ มีปัญหาการเมือง มีปัญหาเศรษฐกิจ ก็จะไม่มีอำนาจต่อรองในระดับโลก ล้าหลัง วนเวียน วังวน จนคนแซงหน้าไปทั่ว หากวันนี้ประเทศไทยอ่อนแอ ฐานการผลิต การลงทุน ทั้งหมดจะไหลไปตกอยู่ในประเทศอื่น ซึ่งตอนนี้พม่า กัมพูชา และหมายมนฑลในจีน ก็ปลูกข้าวได้มากกว่าไทยแล้ว การท่องเที่ยวของเราก็ยังฟุบ อีกหลายปีกว่าจะกลับมาดีดังเดิม คนจะตกงานกว่า 8 ล้านคน
การเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ในวันนี้ จึงต้องเรียกร้องให้รัฐรับลูก ให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองแบบไร้รอยต่อ แต่อย่าให้เลยเถิดไปถึงการเสียเลือดเนื้อ หรือความรุนแรง รัฐต้องจริงใจ แล้วจะจบลงแบบสวยงาม (เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน) มีการวางการเมืองใหม่ร่วมกันกับคนรุ่นใหม่ แบบเป็นธรรม หาคนที่กล้ามาปฏิรูประบบ คนที่กล้าแก้กฎหมาย ดึงดูดการลงทุน สร้างภาษี หาคนที่กล้านำนโยบายใหม่ ๆ ไปปฏิบัติ ไม่เอาคนที่แค่พูดออกสื่อ มีนโยบายแค่ตอนหาเสียง แต่พอตอนทำจริง ไม่กล้าทำ บอกว่าติดกฎหมาย กฎระเบียบ เพราะประเทศไทยจะย่ำอยู่ที่เดิม
เราต้องเริ่มหาตัว ผู้กล้าแห่งแดนสยาม ตั้งแต่วันนี้ เตรียมพร้อมพวกเขาเพื่อการเลือกตั้ง อย่าให้เสียงแตก ให้มีปริมาณมากพอในการขับเคลื่อนแบบมีเอกภาพ โดยไม่เป็นเครื่องมือของการเมืองแบบเดิม ๆ
ดลย์ ระพี
9/08/63