
Recession เป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัวยังคงแข็งแกร่ง แต่เริ่มเห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสการเกิด Recession อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ และ EU ที่อยู่ในระดับต่ำมาก, GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ที่มีการคาดการณ์ว่าจะรายงานออกมาติดลบ และการที่รัสเซียไม่ส่งออกพลังงานให้ EU ทำให้ต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น
.
.
ซึ่งหากเกิด Recession ขึ้นจริง จากข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าตลาดได้แก่ Consumer Staple และ Health Care กลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นการเพิ่มสัดส่วนเงินสด และลงทุนในหุ้นกลุ่มที่บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาด
.
.
Recession หรือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คือสภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะสะท้อนจาก GDP ชะลอตัว, รายได้ที่แท้จริงลดลง, อัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง, ผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก-ค้าส่ง ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ได้กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาว่าเกิด Recession หรือไม่ โดยกำหนดว่าหาก GDP ติดลบ QoQ 2 ไตรมาสติดต่อกัน จะถือว่าเป็นการเกิด “Technical Recession” ทันที
.
.
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ หลาย ๆ ตัวยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำมาก, ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ Recession แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณถึงโอกาสเกิด Recession ในสหรัฐฯ จากดัชนีเศรษฐกิจบางตัว อาทิ
1) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่จัดทำโดยมหาลัย Michigan เดือน มิ.ย. รายงานออกมาที่ 50.2 ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่เคยมีการทำดัชนีนี้ขึ้นมา
2) การคาดการณ์ GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ โดย FED สาขา Atlanta ที่ระดับ -2.1%QoQ (1Q65 -1.6%QoQ) เช่นเดียวกันกับ EU ที่เริ่มเห็นสัญญาณการเกิด Recession จาก
1) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ -23.60 ใกล้เคียงกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด Covid-19 และ
2) EU พึ่งพาพลังงานจากรัสเซียค่อนข้างมาก ซึ่งได้รับผลกระทบหลังจากรัสเซียไม่ขายพลังงานให้ EU ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น และไปกัดกร่อนกำลังซื้อของประชาชน
.
.
อ้างอิงข้อมูลการเกิด Recession ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2000 – ปัจจุบัน เกิด Recession ทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่ Dot-com and 9/11 Crisis (ปี 2000), Global Financial Crisis (ปี 2007-2009) และ Covid-19 (ปี 2020) โดยตลาดหุ้น S&P500 มีสถิติที่สำคัญ ดังนี้
.
.
ตลาดหุ้น S&P ปรับตัวลงเฉลี่ยราว 46.6% (ปี 2000 -51%, ปี 2007 -58%, และ ปี 2020 -35%) โดยมีระยะเวลาการเกิด Bear Market ที่แตกต่างกัน โดยในปี 2000 ตลาดอยู่ใน Bear Market 638 วัน, ปี 2007 เกิด Bear Market 352 วัน และ ปี 2020 เกิด Bear Market 23 วัน
.
.
จุดต่ำสุดของ FWD PE ของตลาด S&P ในรอบปี 2000-2003 = 14.67x, 2007-2009 = 9.95x และ 2020 = 13.99x
.
.
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่าอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงที่เกิด Recession ได้แก่ Consumer Staple และ Health Care
.
.
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง และเพิ่มสัดส่วนเงินสด จนกว่า Valuation ของ S&P500 จะปรับลงมาที่บริเวณ 14x-15x (เราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว และ GDP ยังเติบโตในอัตราเร่ง แตกต่างกับสหรัฐฯ) ขณะที่หุ้นที่เลือกลงทุน เน้นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เราประเมินว่าจะ Outperform ตลาด หากเกิด Recession
.
.
โดยหุ้นที่บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่าจะ Outperform ตลาด หากเกิด Recession ได้แก่ CPALL, MAKRO, BGRIM, GPSC, BDMS
