เรียนรู้ 4 มาตรการแบงก์ชาติสร้างหนี้คุณภาพ
ปีนี้เป็นปีที่ดิฉันได้รับการติดต่อให้เป็นวิทยากรเดินสายคุยเรื่อง หนี้ แบบที่มีโปรแกรมยาวตลอดทั้งปี ต้องเดินทางไปใน 15 จังหวัดเกือบทุกทิศทั่วประเทศ หลายคนบอกว่า เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะถือว่าหน้าที่การงานเจริญงอกงาม สวนทางกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ในปีนี้อาจจะเติบโตไม่ถึง 2%
ที่แย่กว่านั้น คือ ในไตรมาสแรกอาจจะขยายตัวไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ
แต่ในมุมกลับกัน หน้าที่การงานเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า หนี้ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ที่แม้แต่สถาบันการเงินผู้ให้บริการ ซึ่งปกติจะมีรายได้จากการปล่อยกู้ และคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้ ยังต้องกลับมาคิดเรื่องจะปล่อยกู้อย่างไรให้มีคุณภาพ ดีกับทั้งลูกหนี้ และดีกับทั้งแบงก์
จะสร้างหนี้ที่ดีและมีคุณภาพได้อย่างไร ลองถอดจาก 4 มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้กันค่ะ มาตรการที่ว่านั้นเป็นการขอความร่วมมือและผลักดันจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
มาตรการที่ 1 : เน้นนโยบายส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมครัวเรือน ปลูกฝังความรู้ก่อนก่อหนี้ ผลักดันการส่งเสริมความรู้และเสริมสร้างวินัยทางการเงินแก่ประชาชน โดยไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัวและให้ความสำคัญกับการออม
เราทำ : ตั้งสติก่อนกู้ แยกแยะให้ออกว่า ‘หนี้’ ที่เรากำลังจะก่อนั้น มีเหตุผลเพียงพอสมควรที่จะก่อหรือไม่ กลับมาเรื่องเดิมๆ ที่เราคุยกันหลายครั้งคือ แยกให้ออกระหว่าง ‘จำเป็น’ หรือ ‘ต้องการ’ เลือกกู้ในสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตก่อน จะช่วยให้การก่อหนี้นั้นเริ่มต้นอย่างมีคุณภาพไปแล้วครึ่งนึงค่ะ
มาตรการที่ 2 : เน้นนโยบายส่งเสริมให้เกิดการปล่อยสินเชื่ออย่างเหมาะสม ผลักดันการให้สินเชื่อรายย่อยอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความสามารถในการดำรงชีพของผู้กู้ และไม่กระตุ้นการก่อหนี้ที่เกินความจำเป็น ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูลสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ของธนาคารพาณิชย์ที่คำนวณตามมาตรฐานกลางที่ตกลงกับ ธปท. เพื่อใช้ติดตามมาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินและประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้กลุ่มต่างๆ
เราทำ : เมื่อเลือกก่อหนี้ที่จำเป็นแล้ว ต้องไม่ก่อหนี้เกินกำลังด้วย ต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ว่าหนี้ที่ก่อนั้นมีภาระผ่อนชำระเกินกว่า 30-40% ของรายได้ในแต่ละเดือนหรือไม่ อันนี้สำคัญค่ะ เพราะถึงจะกู้ในสิ่งที่จำเป็น แต่ถ้าไม่มีความสามารถในการชำระ หรือก่อหนี้เกินกำลัง สุดท้ายก็จบตรงที่ผ่อนต่อไม่ไหว ต้องถูกยึดทรัพย์สินที่กู้มาซื้อ ถ้าทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าไม่คุ้มมูลหนี้ ก็อาจจะถูกเรียกทรัพย์เพิ่มเติมอีก กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา
ต้องเริ่มต้นแบบไม่เข้าข้างตัวเองว่า กู้ๆ ไปเถอะ เพราะกู้มาแล้ว ยังไงก็ต้องผ่อนไหว เพราะตัวอย่างของความล้มเหลวก็มีให้เห็น เริ่มแบบรอบคอบไว้ก่อน ปลอดภัยกว่าค่ะ
มาตรการที่ 3 : เน้นนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิมที่มีอยู่ ผลักดันแนวทางเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากวังวนหนี้ เช่น โครงการคลินิกแก้หนี้ และการรีไฟแนนซ์
เราทำ : แม้ว่าเราจะทำทั้งสองอย่าง คือ เลือกก่อหนี้ที่จำเป็น และกู้ตามกำลังความสามารถของตัวเอง ซึ่งเท่ากับป้องกันความเสี่ยงไปได้มากแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จะไม่มีปัญหา 100% เพราะปัจจัยที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้จะวางแผนมารัดกุมแค่ไหน เพียงแต่การวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยลดความเสี่ยงและความเดือดร้อนไม่ให้เกิดผลกระทบจนรับมือไม่ไหว
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยก็คือ ต้องยอมรับว่ามีปัญหา และหาทางแก้ปัญหา หาทางเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ค่ะ อย่าหนีหนี้หนีปัญหา
มาตรการที่ 4 : หลีกเลี่ยงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
เราทำ : พยายามอย่ากู้ใหม่หรือสร้างหนี้เพิ่มมาแก้หนี้เก่า เพราะจะกลายเป็นเราต้องก่อหนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทางที่ดีที่สุด คือ ต้องหาทางชำระหนี้ด้วยรายได้หรือเงินเดือนที่เราได้มาจากทำงานนะคะ หนี้ ของเราถึงจะลดลงอย่างมีคุณภาพ เราสามารถลดความเปราะบางหรือความง่อนแง่นทางการเงินของตัวเองลงได้ ด้วยการไม่ก่อหนี้ใหม่ในช่วงที่ต้องแก้ปัญหาหนี้เก่าค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง :จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ยอดชำระลด แต่ “ดอกเบี้ย” เพิ่ม
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก