มองอนาคตการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล :
Summary
- ปี 2022 นี้ เป็นปีที่หนักหนาสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ถึงอย่างนั้น จากผลสำรวจกลับพบว่าคนหนุ่มสาวยุคมิลเลนเนียลกว่า 90% ยังยืนยันว่ามีความสนใจจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป
- เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือ ผู้ที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาหาความรู้ความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ตอนนี้หลายคนอาจเกิดคำถามในหัวแล้วว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีทิศทางไปต่ออย่างไร นักลงทุนที่ลงทุนควรจัดพอร์ตแบบไหนจึงจะเหมาะสม
- ไทยรัฐพลัสขอชวนทบทวนสิ่งที่เรียกว่า ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ กันอีกครั้ง ทั้งวิวัฒนาการ 14 ปีของสินทรัพย์, ดิจิทัล ความท้าทาย อุปสรรค และ แนวโน้มในอนาคต, เปรียบเทียบการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์พื้นฐาน, มูลค่าของ Metaverse ขึ้นอยู่กับอะไร, หลักพิจารณาก่อนลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และการจัดสรรพอร์ตการลงทุน
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลกันจริงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี (cyptocurrency) กันอย่างคึกคัก ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของมูลค่าตลาดและความนิยมในการลงทุน และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น สินทรัพย์ดิจิทัลยังขยายวงกว้างไปถึงสถาบันการเงินต่างๆ ที่ไม่ยอมพลาดขบวนรถไฟแห่งอนาคตนี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่สินทรัพย์ดิจิทัลยังเป็นเรื่องใหม่ การลงทุนยังมีความเสี่ยงสูงมากทั้งจากระบบและผู้ใช้งาน ความผันผวนของราคาในตลาดสูงชนิดที่ผลตอบแทนอาจพุ่งทะยานขึ้นไปถึง 100 เท่า และร่วงลงจนเกือบจะเหลือ 0 ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งภาพรวมในปี 2022 นี้ ถือว่ายังคงเป็นปีที่หนักหนาสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ราคายังคงมีการปรับลดลงอย่างหนัก ส่งผลให้ตลาดเกิดความซบเซาเข้าขั้นวิกฤติ
ถึงอย่างนั้น จากผลสำรวจกลับพบว่าคนหนุ่มสาวยุคมิลเลนเนียลกว่า 90% ยังยืนยันว่ามีความสนใจจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือ ผู้ที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาหาความรู้ความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
ยิ่งในปี 2023 ที่จะมาถึงนี้ หลายคนอาจเกิดคำถามในหัวแล้วว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีทิศทางไปต่ออย่างไร นักลงทุนที่ลงทุนทั้งในสินทรัพย์ดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัลควรจัดพอร์ตควรแบบไหน ลงทุนเท่าใดถึงจะเหมาะสม
ไทยรัฐพลัสขอพาผู้อ่านไปทบทวนสิ่งที่เรียกว่า ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ กันอีกครั้ง จากงานสัมมนาออนไลน์ ‘TFPA Wealth Management Forum 2022 สินทรัพย์ดิจิทัลกับการจัดพอร์ตการลงทุน’ จัดโดยสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ที่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กันอย่างคับคั่งในหลากหลายหัวข้อ
14 ปีวิวัฒนาการสินทรัพย์ดิจิทัล จาก Bitcoin สู่ Ethereum, Defi และ NFT
ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และผู้ก่อตั้ง Bitcast บรรยาย ในหัวข้อ ‘ภาพรวมพื้นฐานสินทรัพย์ดิจิทัล’ โดยเริ่มจากวิวัฒนาการของสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไล่เรียงตามไทม์ไลน์ดังนี้
ปี 2008 : กำเนิดบิตคอยน์ (Bitcoin) ในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ โดยซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ได้ตีพิมพ์เอกสารไวท์เปเปอร์ (white paper) อธิบายสกุลเงินดิจิทัลบิตคอยน์ออกมา โดยเทคโนโลยีนี้เป็นแบบเพียร์ทูเพียร์ (peer to peer) ไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ และมีความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีความโปร่งใส ไม่สามารถลบหรือแก้ไขข้อมูลได้
หลักๆ แล้วบิตคอยน์ คือ การเลียนแบบระบบการเงินในอดีต เปรียบเหมือนทองคำที่มีมูลค่าสูงและจำนวนจำกัด แต่มีข้อดีกว่าในแง่ของการแลกเปลี่ยน ไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ มากไปกว่านั้นบิตคอยน์ยังแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้อีก เช่น 1 บิตคอยน์ สามารถแบ่งได้เป็น 100 ล้านซาโตชิ นี่คือคุณสมบัติที่ในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัลเคลมว่าเหนือกว่าทอง
ปี 2010 : วันที่ 22 พฤษภาคม 2010 เป็นวันแรกที่มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นจริง มีการซื้อพิซซ่า 2 ชิ้นในราคา 10,000 บิตคอยน์ ในช่วงปีเดียวกันนี้ มีการเปิดตัว Mt.Gox ผู้ประกอบการที่เข้ามาดำเนินการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์
ปี 2011 : เริ่มมีการก๊อบปี้โค้ดบิตคอยน์ และทำเหรียญออกมามากมาย เรียกว่า Alt Coin หรือ Alternate Coin ซึ่งเหรียญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ประมาณ 90% หายไปจากกระดาน 100 อันดับแรกแล้ว เพราะผู้สร้างไม่ได้คำนึงการใช้ประโยชน์ของผู้ใช้อย่างแท้จริง
ปี 2014 : Mt.Gox ล้มละลาย เนื่องจากระหว่างที่ประกอบธุรกิจไม่ได้สนใจเรื่องศูนย์ซื้อ-ขาย (exchange) มากนัก จึงมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้ามาโจมตี ในยุคนั้นบิตคอยน์เสียหายกว่า 600,000 บิตคอยน์ จนในที่สุด Mt.Gox ประกาศล้มละลาย
ปี 2015 : กำเนิดอีเธอเรียม (Ethereum) แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใส่กระบวนการทางดิจิทัลที่เรียกว่า smart contract เข้าไป เป็นโปรแกรมแบบออโตเมชั่นที่ไม่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเลย หลักๆ อีเธอเรียมจะคล้าย Cloud computing ที่ให้คนมาใช้งาน เมื่อผู้ที่จะประกอบธุรกิจจะใช้บริการหรือทำธุรกรรมจะต้องใช้เหรียญ ETH เพื่อรันการทำงานต่างๆ เหรียญที่สร้างขึ้นมาใหม่สามารถมาใช้เชนของอีเธอเรียมได้เลย ซึ่งเชนแบบนี้เรียกว่า public blockchain เป็นถนนสาธารณะที่ทุกคนมาใช้ได้ โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
ปี 2017 : หลังจากที่อีเธอเรียมออกแบบมาเพื่อให้ผู้สร้างเหรียญต่างๆ ไม่ต้องสร้างเชนของตัวเอง ทำให้มีนักพัฒนาเหรียญเกิดขึ้นในช่วงปี 2017 เยอะมาก เพราะการสร้างเหรียญเป็นแพลตฟอร์มในการระดมทุนที่ง่าย ด้วยการระดมทุนผ่านโทเคน (token) ที่เรียกว่า ICO หรือ initial coin offering คล้าย IPO ของตลาดทุน เพียงแต่ว่าการระดมทุน ICO จะให้สิทธิความเป็นเจ้าของผ่านโทเคน ซึ่งในช่วงนั้นมีบริษัทรับจ้างเขียน ไวท์เปเปอร์คล้ายๆ หนังสือชี้ชวนโฆษณาตัวเอง บอกเหตุผลต่างๆ ที่น่ามาลงทุนด้วยกัน ทำให้ปี 2017 เป็นยุคที่มีคนโกงกันมาก โดยการระดมทุนเป็นการระดมทุนผ่าน Utility token เพื่อเลี่ยงกฎหมายเข้าข่ายตลาดทุน
ปี 2018 : ICO บูมมากในปี 2017 แต่ก็เกิดปัญหามากมาย หลายโครงการไม่สามารถส่งมอบได้ตามไทม์ไลน์ ทำให้ปี 2018 เกิดภาวะตลาดหมี ทำให้ราคาเหรียญตกลงมา 80-90% ในปีเดียวกันนี้เป็นช่วงมาตรฐาน NFT (Non-Fungible Token) เกิดขึ้นมา เป็นเหรียญที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่แทนกันไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันคนนิยมนำงานศิลปะมาสร้างเป็น NFT เพื่อใช้ NFT แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของผลงานแต่เพียงผู้เดียว
ปี 2019 : เมื่อระบบการเงินที่ยกมายังโลก Public blockchain ทำให้อีเธอเรียม และบริการทางการเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ผ่านตัวกลาง (DeFi หรือ Decentralized Finance) ก็เริ่มแพร่หลาย ซึ่งมีจุดเริ่มต้น คือ การกู้ยืมโดยนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปค้ำประกันเอาเงินออกมา จากนั้นเริ่มวิวัฒนาการไปอีกรูปแบบหนึ่ง คือตลาดแลกเปลี่ยนที่ไม่มีคนกลางคอยควบคุม (Decentralized Exchanges หรือ DEX) ทำให้คนกรูเข้ามาในโลก DeFi จนกลิ่นอายความเป็นแชร์ลูกโซ่สูงมากจนน่ากลัว
ปี 2020 : เป็นยุคล่าสุด คือ GameFi และ NFT สำหรับ GameFi มีลักษณะจ้างคนมาเล่นเกม สร้างอีโคโนมีซิสเท็มจำลอง สร้างดีมานด์ ดึงคนมาเล่นเกม (ซึ่งจะมีการกระตุ้นให้ผู้เล่นซื้อไอเท็ม) เมื่อมีรายได้ก็แบ่งส่วนแบ่งให้ผู้ลงทุน แต่จากผลการใช้งานพบว่ายังเป็นเพียงการดึงคนมาเล่นในระยะสั้นเท่านั้น
ขณะเดียวกันเทคโนโลยี NFT เริ่มบูมในกลุ่มศิลปิน มีการพัฒนางานศิลปะ สร้างโปรไฟล์พิคเจอร์ เกิดคอลเลคชั่นต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยี NFT แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของมากขึ้น โดยสามารถเขียนข้อตกลงต่างๆ ที่ศิลปินพอใจ และมองว่ามีความเป็นธรรม
ความท้าทาย อุปสรรค และแนวโน้มในอนาคต
นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยพูดถึงความท้าทายของสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยว่า ความท้าทายของวงการสินทรัพย์ดิจิทัล คือ ในปัจจุบันยังมีอีกหลายปัจจัยที่นวัตกรรมยังไม่สะท้อนความเป็นเทคโนโลยีนั้นจริงๆ และโปรเจกต์ต่างๆ ส่วนใหญ่ที่สร้างเหรียญล้วนสร้างเพื่อเก็งกำไร ซึ่งทุกวันนี้มีโปรเจกต์จำนวนมากที่ตั้งใจทำมาหลอก และทำได้เนียนมากๆ ความท้าทายจึงอยู่ที่การรอคนที่ตั้งใจทำจริงๆ เข้ามาทำ ซึ่งคนที่ตั้งใจจริงมีจุดสังเกตได้ คือ จะไม่หวือหวา จะเติบโตยั่งยืน และตอบโจทย์ผู้ใช้จริง ชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัลจึงควรส่งเสริม และสนับสนุนคนมีไอเดียมาสร้างโปรเจกต์ดีๆ ใน Public Blockchain ให้มากขึ้นเพื่อเบียดพวกไม่ดีออกไป
อีกความท้าทาย คือ จะทำอย่างไรให้กฎหมายสอดคล้องกับธรรมชาติของสินทรัพย์ดิจิทัล และการปกป้องนักลงทุนรายย่อย-ผู้ใช้ทั่วไป เพราะหากควบคุมมากไปก็จะไม่พัฒนา ควบคุมน้อยก็เสี่ยงต่อระบบ
“อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วทุกคนต้องตระหนักว่าต้องช่วยเหลือตัวเอง ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สมาคมฯ พยายามขับเคลื่อน”
ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวอีกว่า อุปสรรคในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล คือ เรื่องความรู้ เพราะเป็นเรื่องที่ใหม่และยาก หลายคนเคยชินกับผลิตภัณฑ์แบบเก่า ไม่เข้าใจว่าเซอร์วิสแบบใหม่บนบล็อกเชนแตกต่างกับผลิตภัณฑ์แบบเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ ผู้ลงทุนต้องรับผิดชอบสินทรัพย์ของตัวเอง ถ้าไม่มีความรู้สินทรัพย์อาจหายได้
และอีกอุปสรรคสำคัญ คือ ณ วันนี้ เป้าหมายยังไม่ชัดเจนว่าจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปทำอะไร และช่วยระบบเศรษฐกิจได้อย่างไร แต่แนวโน้มมองว่า public blockchain จะเป็นฟันเฟืองหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือเซอร์วิสต่างๆ ซึ่งผู้ที่ใช้จะต้องมีความรู้สูง
ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จริงเมื่อไร นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลมองว่า อาจเป็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านเจเนอเรชัน คือ วัยกลางคนและเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นมามีบทบาทในสังคมมากขึ้น นั่นจึงอาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสม
การลงทุนในบิตคอยน์ VS หุ้น
หนึ่งหัวข้อที่นักลงทุนคริปโตฯ รอคอยฟังจากงานสัมมนานี้ คือ “การเปรียบเทียบการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์พื้นฐาน” โดยผู้ร่วมเสวนาทั้ง 3 คนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนมากประสบการณ์ ประกอบด้วย ดร.นที เทพโภชน์ นายกสมาคมเมตาเวิร์สไทย และผู้ก่อตั้ง Blockmountain, ชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด และมี ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และผู้ก่อตั้ง Bitcast เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า ในยุคแรก คนมองว่าบิตคอยน์ไม่มีมูลค่า เนื่องจากเอาหลักการหุ้นมาตีตรา แต่ที่จริงแล้วบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ทำมาให้มีคุณสมบัติเหมือนทองคำ คือ มีจำนวนจำกัดและไม่ต้องการคนกลางในการติดต่อกัน ในแง่พื้นฐาน ระบบบิตคอยน์สามารถส่งเงินข้ามโลกได้ “เมื่อโอนเงินระดับโลกได้ทำไมจึงจะไม่มีค่า” ส่วนในแง่การเป็นสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร บิตคอยน์ก็ต่างจากหุ้น แต่เหมือนทองที่มีปริมาณจำกัด คนซื้อไว้ เพราะมูลค่าของมันจะไม่ถูกทำให้ลดลงโดยการเพิ่มจำนวนเหมือนหุ้น หรือการไปเสาะแสวงหาทำให้ซัพพลายมันเพิ่ม
“ในประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ อะไรที่มีมูลค่ามักจะมีแนวโน้มในการถูกทำลายมูลค่าโดยการ dilute มูลค่า เช่น ยุคหนึ่งปลามีราคาแพง แต่พอเรามีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น มีเรือไปจับปลามาจนล้นตลาดทำให้มูลค่าปลาเฉลี่ยต่อตัวน้อยลง แต่สำหรับบิตคอยน์ไม่ว่าจะใช้พลังงานในการเสาะหาแค่ไหน แต่สุดท้ายมันมีจำนวนจำกัด ฉะนั้นการมองบิตคอยน์ไม่สามารถเอามุมมองของหุ้นมามอง ต้องมองบิตคอยน์ในแง่ที่เป็นระบบ Decentralized ที่สามารถส่งเงินได้ และมีจำนวนจำกัด เป็นระบบที่ไม่สามารถถูกทำลายได้”
พีรพัฒน์บอกอีกว่า คริปโตเคอร์เรนซีเป็น new world เป็นตัวเลขดิจิทัลที่จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ จะสร้างระบบขึ้นมาแล้วจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยเหรียญ แล้วนำเหรียญนั้นไปลดค่าธรรมเนียมก็ได้ หรือนำเหรียญนั้นไปวางเพื่อเขียนสัญญาอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนไปกว่านั้นก็ได้ ฉะนั้น ในการพิจารณาคริปโตเคอร์เรนซี บิตคอยน์ก็เป็นแค่รูปแบบหนึ่ง ถ้าเป็นเหรียญอื่นก็ต้องพิจารณาเป็นรายตัว
ด้านชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แชร์มุมมองว่า ถ้าเปรียบเทียบบิตคอยน์กับทองคำว่าบิตคอยน์เป็นดิจิทัลโกลด์ จริงๆ แล้วมันก็มีทั้งความเหมือนและแตกต่าง
ความเหมือน คือ ทั้งสองอย่างเป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกยอมรับ ทองได้รับการยอมรับมาเป็นพันปีแล้ว ส่วนบิตคอยน์ช่วงหลังดีขึ้น ทุกภูมิภาคของโลกมองว่าบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง เป็น storage of value เป็นที่เก็บมูลค่า
“ในยุคโบราณใครมีทองเยอะถือว่ามีความมั่งคั่งมาก บิตคอยน์ใกล้เคียงกัน ด้วยความที่ซัพพลายจำกัด และ ไม่สามารถผลิตโดยรัฐบาล หรือ ธนาคารกลางต่างๆ ก็เป็นที่เชื่อได้ว่าใครที่ถือบิตคอยน์หรือทองคำอยู่มันเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง”
ส่วนความแตกต่าง คือ ทองมีกายภาพที่ต้องเก็บ แต่บิตคอยน์เป็นดิจิทัล ต้นทุนการเก็บรักษาต่ำ การทรานสเฟอร์ง่ายกว่าทองคำมาก แต่ที่ด้อยกว่าทอง คือ ในแง่การเป็น storage of value มูลค่าของบิตคอยน์มีความผันผวนสูงกว่าทองคำมาก ซึ่งการที่คนเราต้องการเก็บความมั่งคั่งของตัวเองไว้ในสินทรัพย์อะไรสักอย่าง ก็ต้องอยากสบายใจว่าเก็บไว้แล้วมันจะคงอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ สามารถสะสมมันได้ แต่การเก็บบิตคอยน์ ถ้าดูจากประวัติที่ผ่านมาจะเห็นว่ามูลค่าของบิตคอยน์แกว่งตัวในช่วง (range) ที่กว้างกว่าทองคำค่อนข้างมาก
“ถ้ามองแบบนี้ ในแง่ storage of value บิตคอยน์ก็อาจจะน้อยกว่าทองคำ ถึงแม้ว่า utility หรือการใช้งานลักษณะโอนไปโอนมา การทำเป็นหน่วยย่อยส่งให้คนอื่นสะดวกกว่า แต่ถ้าในอนาคตจะมีการแลกเปลี่ยนโดยใช้บิตคอยน์เป็นมาตรฐานเทียบกับทองคำ ก็คิดว่าบิตคอยน์อาจได้เปรียบมากกว่า”
“แต่ทั้งหมดที่ว่ามาต้องบอกว่าประวัติศาสตร์บิตคอยน์มันสั้น เริ่มมาไม่เกิน 20 ปี ไม่เหมือนทองคำที่ประวัติศาสตร์เป็นพันปี นั่นหมายความว่าบิตคอยน์สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ อนาคตวันข้างหน้าคนก็อาจจะยอมรับเป็นตัวกลาง เหมือนที่เราใช้ทองคำซื้อขายสินค้าในอดีต วันนี้อาจจะยังเร็วไป ยังไม่ได้ยอมรับในวงกว้างขวาง ต้องติดตามกันต่อไป” ชาตรีแสดงความเห็น
NFT VS งานศิลปะ
พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า NFT โดยเทคโนโลยีพื้นฐานของมันสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมนำมาใช้ในลักษณะงานอาร์ตที่เรียกว่า PFP หรือ Profile Picture ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริง PFP ไม่ค่อยใกล้เคียงกับงานศิลปะเท่าไรนัก แต่จะใกล้เคียงกับของแบรนด์เนมมากกว่า คือถูกใช้เป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคม (Social status) เมื่อใช้แล้วจะได้รับการยอมรับจากคนกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับว่าเข้าไปอยู่ในแวดวงและคัลเจอร์ของคนกลุ่มนั้นได้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่จริงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะ social status มันแฝงอยู่กับตลาดแบรนด์เนมทุกตัว
ดร.นที พูดถึง NFT กับงานศิลปะว่า NFT กับงานศิลปะเป็นคนละอย่างกัน ตัว NFT คือเทคโนโลยี แต่ด้วยความที่ช่วงเริ่มต้นมีการใช้กับงานศิลปะมาก จึงมีการเทียบมูลค่ากับงานศิลปะ แต่ในความเป็นจริง เทคโนโลยี NFT อาจจะไม่สามารถเทียบกับงานศิลปะได้ เพราะเป็นงานคนละอย่างกัน และนักสะสมภาพศิลปะทาง NFT กับ Physical Art เป็นคนละกลุ่ม จึงเทียบคุณค่าทางศิลปะกันได้ยาก
“ NFT เป็นเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้เปลี่ยน business model ของงานศิลปะมากกว่า อย่างศิลปินวาดภาพขายปุ๊บก็ขายได้แค่ตลาดแรก พอภาพนั้นถูกขายเปลี่ยนมือ ศิลปินจะไม่มีส่วนร่วมในรายได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนมือ แต่ NFT มีกระบวนการ มี business model บางอย่างที่เรียกว่าค่า royalty fee คือถ้า NFT เปลี่ยนมือ คนเขียนภาพจะได้ค่า royalty fee ไปด้วย มันทำให้เกิด business model ใหม่ๆ ซึ่งคนทำงานศิลปะรู้สึกว่ามันแฟร์”
ส่วนการลงทุนหรือประเมินมูลค่าของ NFT ดร.นทีบอกว่า ต้องดูเรื่อง business model ด้วยว่ารองรับอะไรบ้าง ศิลปินคนนั้นมีแฟนคลับเยอะแค่ไหน หรือมี utility ต่อเนื่องไหม เพราะ NFT บางอย่างนอกจากเป็นศิลปะที่มีนักสะสมแล้ว และอาจจะมี utility อื่นแฝงอยู่ด้วยก็ได้ อาจใช้เป็นส่วนลดอื่นๆ หรือนำไปแลกสิทธิพิเศษบางอย่าง เป็น business model ที่ต่อเนื่องกัน ไม่ใช่แค่สะสมงานศิลปะอย่างเดียว ส่วนการประเมินมูลค่าในแง่ศิลปะความสวยงาม คิดว่าน่าจะคล้ายกันกับงานศิลปะแบบดั้งเดิม
คริปโตเคอร์เรนซี VS เงินสด
ชาตรี กล่าวว่า ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลเรียก อีเธอเรียม ว่า ดิจิทัล แคช ส่วนบิตคอยน์เป็นดิจิทัล โกลด์ ซึ่งความหมายของความเป็นแคช คือ ต้องเปลี่ยนมือได้ และมูลค่าของมันต้องสามารถเอาไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนอะไรได้ ซึ่งอีเธอเรียมก็แลกเปลี่ยนได้ แต่ขึ้นอยู่กับผู้รับอีเธอเรียมว่าเขาให้มูลค่าแค่ไหน อยู่ที่โปรโตคอล หรือฟังก์ชันการทำงานบนเชน หรือเน็ตเวิร์กของสิ่งๆ นั้นว่ามีอะไรอยู่บ้าง
ชาตรียอมรับว่าการประเมินมูลค่าคริปโตเคอร์เรนซียากกว่าเงินสด เพราะมีการใช้งานจำกัด และการแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่ที่ความพอใจของผู้รับ สรุปคือ คริปโตเคอร์เรนซีกับเงินสดมีทั้งความเหมือนและแตกต่าง
“เรื่องเด่นกว่าของคริปโตฯ คือ decentralized และดีกว่าในลักษณะความเป็นส่วนตัว คือ ถ้าเป็นเงินสดคุณถือดอลลาร์ฯ หรือบาท ถ้าทำอะไรผิดกฎหมาย ปปง. หรือธนาคารกลางสามารถมาอายัดเงินคุณได้ แต่ถ้าเป็นคริปโตฯ เป็นเงินสกุลเข้ารหัส ไม่สามารถจะมาเทกโอเวอร์ แต่ถ้ามองด้านความระเบียบเรียบร้อยของสังคม ตรวจสอบได้ชัดเจน ตามคนทำความผิดได้ ระบบเงินปกติจะมีข้อดีกว่า ไม่ได้บอกว่าอะไรดีกว่า อนาคตสังคมมนุษย์จะตัดสินใจเอง ต้องติดตาม”
ส่วนพีรพัฒน์มี 2 มุมมองเรื่องความแตกต่างระหว่างคริปโตฯ กับเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเจ้าตัวออกตัวว่า “อาจจะแตกต่างจากคนอื่น”
มุมมองแรกคือ คริปโตฯ มีความโปร่งใสมากกว่าเงินแบบดั้งเดิม ถ้ารู้ว่าบัญชีชื่ออะไรจะสามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีนั้นเคยรับเงินจากไหนและโอนเงินไปไหนบ้าง เพียงแต่จะยากตรงที่ไม่รู้ว่าบัญชีไหนเป็นของใคร หรือคนที่เราต้องการตรวจสอบใช้บัญชีชื่ออะไร ต่างจากบัญชีธนาคารทั่วไปที่เราไม่สามารถรู้หรือตรวจสอบได้ว่าบัญชีนั้นมีเงินในบัญชีเท่าไร และเคยโอนเงินไปไหนบ้าง
“ยอมรับว่าทุกวันนี้คริปโตฯ มีขยะเยอะ แต่ในแง่ความโปร่งใสผมมองว่ามีความเหนือกว่า อย่าง กรณี FTX ระเบิด ทุกคนด่า แต่ลองคิดกลับกัน ถ้าเป็น traditional finance คุณจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทหนึ่งๆ มีอะไรซุกอยู่ใต้พรมเยอะแค่ไหน ปลายปีมีงบดุล คุณตรวจสอบได้ถ้าบริษัทไม่ได้แก้บัญชี แต่คริปโตฯ แก้ไม่ได้ อย่าง FTX มันมีขยะเยอะ แต่มีความโปร่งใสเยอะ … เป็นความโปร่งใสที่ค่อนข้างแฟร์ ถ้าเป็นนักลงทุนที่รู้จักตรวจสอบ ผมชอบด้วยความ decentralized เพียงแต่ใครจะทำอะไรก็ได้ ขยะก็เลยเยอะ”
อีกมุมมองคือ การที่หลายคนมองว่าคริปโตเคอร์เรนซีเปรียบเทียบกับสกุลเงินทั่วไป แต่พีรพัฒน์มองต่างว่า คริปโตเคอร์เรนซีเป็นอีโคซิสเท็มที่จะดีไซน์อะไรลงไปก็ได้ เนื้อแท้คริปโตฯ เป็นหน่วยข้อมูลทางดิจิทัลตัวหนึ่งที่จะเอาโมเดล เอาความคิดอะไรไปใส่ก็ได้ “เพราะฉะนั้นมันเปิดกว้างมากๆ คือจะโอเพ่นไอเดียมาก ทำให้ความผันผวนสูง เพราะมันยังใหม่”
Metaverse กับหลากคำนิยาม มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับอะไร
ดร.นที บอกว่า คำจำกัดความ เมตาเวิร์ส (metaverse) สำหรับตัวเขาคือ เครื่องมือดิจิทัล (digital tools) อย่างหนึ่ง เป็นตัวรวบรวมเทคโนโลยีดิจิทัลในหลายๆ เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เรื่องคอนเทนต์ เรื่องระบบ รูปแบบ ซึ่งความน่าสนใจของเมตาเวิร์สก็คือคอนเทนต์ หากไม่มีคอนเทนต์มันก็จะเป็นแค่เครื่องมือทางดิจิทัลอย่างหนึ่ง
“คำว่าเมตาเวิร์สทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นโลกอนาคตมากเลย ทั้งที่จริงอยากจะบอกว่าอย่าไปคิดว่าจะไปไกลขนาดนั้น กลับมามองความพร้อมเทคโนโลยีตรงนี้ว่าเขาพูดถึงอะไร และเอาไปใช้อะไรบ้าง และมองเมตาเวิร์สว่าเป็นแค่ digital tools อย่างหนึ่ง” ดร.นทีย้ำ
ส่วนเรื่องที่ดินเมตาเวิร์ส ดร.นทีบอกว่า หลักการพิจารณามูลค่าการลงทุนในที่ดินเมตาเวิร์ส คือ ต้องดูว่าผู้พัฒนามีข้อกำหนดจำกัดจำนวนเหมือนที่ดินในโลกจริงหรือไม่ และต้องพิจารณาถึง utility ของที่ดินนั้นๆ ว่าซื้อแล้วสามารถนำไปทำอะไรได้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจหรือธุรกรรมของตัวเองได้หรือไม่
“อยากให้มอง utility ของแพลตฟอร์มเป็นหลักว่ามีการจัดเตรียมประโยชน์อะไรบ้าง ถ้าเราเป็นผู้ถือที่ดิน เรามีสิทธิอะไร เราทำอะไรได้ นี่คือข้อพิจารณาว่าที่ดินนั้นมีมูลค่าอย่างไร”
ด้านชาตรีมองว่า เมตาเวิร์สคือโลกอีกใบหนึ่งที่ทุกคนยินดีจะไปใช้ชีวิตอยู่บนนั้น ซึ่งคำนี้มันไม่จำเป็นต้องเป็นไซไฟ หรือ 3D แบบที่เห็นในหนัง อาจจะเป็นแบบดั้งเดิม (primitive) มากๆ ก็ได้ เพียงแค่ว่าคอมมิวนิตี้ของคนขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วมีปฏิสัมพันธ์กัน
“เมตาเวิร์สจะมีค่าเมื่อมีคน ที่ไหนมีคนอยู่เยอะมูลค่าจะสูง เพราะคนจะทำให้เกิดการบริโภคทางเศรษฐกิจ เกิดเป็นกระแสเงินสด หรือรายได้ที่เกิดจากการถือครองที่ดินขึ้นมา ที่ดินเมตาเวิร์สก็อาจจะใช้หลักการเดียวกันได้ ถ้ามีคนอยู่จริง และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ก็เกิดมูลค่า ประเมินเป็นกระแสเงินสดได้ อยู่ที่ว่าโลกนั้นมีคนเข้าไปอยู่หรือเปล่า เพราะต่อให้ที่ดินมีจำกัดแต่ไม่มีคน ก็ไม่มีมูลค่า อยู่ที่ว่าปลายทางเรื่องนี้ สุดท้ายเราจะเข้าไปใช้ชีวิตได้จริงไหม ถ้ามี มูลค่าจะมหาศาลมาก เพราะประชากรทั้งโลกมากมาย แต่ที่ดินจำกัด ดังนั้นถ้ามีความต้องการ มูลค่าจะสูงมาก นี่คือความท้าทาย ซึ่งตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะคนใช้ยังไม่มาก ไม่เกินหลักหมื่น แต่ถ้าวันหนึ่งหลักล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน ผมว่ามูลค่าไปได้อีกไกล”
หลักพิจารณาก่อนลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และการจัดสรรพอร์ต
ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลควรพิจารณาอะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า ‘ความเสี่ยง’ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดระดับไว้มี 8 ระดับ สำหรับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี NFT หรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล น่าจะเสี่ยงประมาณ 80% กล่าวได้ว่าความเสี่ยงสูงกว่าทุกสินทรัพย์ที่เคยมีมา ดังนั้นต้องเผื่อใจไว้มากๆ เน้นศึกษาหาความรู้ให้มากๆ และต้องประเมินการเงินของตัวเอง ถ้าขาดทุน 100% แล้วจะมีปัญหาทางการเงิน ไม่ควรลงทุน เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจริง ต้องลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะเสียไปได้โดยไม่เดือดร้อน
ดร.นที เทพโภชน์ นายกสมาคมเมตาเวิร์สไทย และผู้ก่อตั้ง Blockmountain แนะนำว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลควรเริ่มจากลงทุนน้อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ศึกษาจนเข้าใจมากขึ้นแล้ว ก็ยังไม่ควรจะลงทุนเยอะเกินไป เพราะในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีทางจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลแน่นอน อีกทั้งยังมีบางสิ่งบางอย่างมากระทบด้วย ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็นได้ในวันแรก
“การกระจายความเสี่ยงบนสินทรัพย์ดิจิทัลสำคัญ ผมคิดว่าสำหรับคนทั่วไปถ้ามีสินทรัพย์ดิจิทัลเกิน 5% ของพอร์ตการลงทุนก็เรียกว่าเยอะมากแล้ว”
“...อนาคตเรายังไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ดังนั้นกระจายความเสี่ยงเยอะๆ ไม่อยากให้มีแนวคิดประเภทที่ว่า ถ้าจะลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเอาเงินที่จะเสียได้ 100% มาลงทุน ผมคิดว่าถ้าอย่างนั้นอย่าลงทุนเลย เพราะแปลว่าคุณไม่ได้ศึกษาเลย ลงเท่าที่ไม่กระทบกับพอร์ตเราดีกว่า” นทีกล่าว
ด้านพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด แนะว่า คนทั่วไปควรมีสินทรัพย์ดิจิทัลประมาณ 5% ไม่เกิน 10% ของพอร์ต และควรลงทุนแค่ใน 3 เหรียญที่อยู่อันดับบนๆ คือ บิตคอยน์ อีเธอเรียม และ BNB เพราะเป็นเหรียญที่ความเสี่ยงต่ำสุด สำหรับบิตคอยน์มูลค่าอาจจะลดลงได้ถึง 50% แต่เหรียญอื่นอาจจะลงได้ถึง 95%
“ฉะนั้นต้องจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงดีๆ ปัญหาของคนเข้ามาใหม่ คือ มักจะได้ยินคำโฆษณาของโปรเจ็กต์แปลกๆ ซึ่งโปรเจ็คต์เล็กๆ เหล่านั้นต่อให้มีแนวคิดดีแค่ไหน แต่ปัญหา คือ volume ต่ำ เมื่อเกิดการเทขายจะทำให้ผันผวนง่ายมากๆ…” พีรพัฒน์เตือน
หมายเหตุ : ที่มาจากไทยรัฐออนไลน์