ตลาดหุ้นร่วงไม่ใช่เหตุผลที่จะขายหุ้น : 3 เหตุผลที่ Warren Buffett ปล่อยหุ้นของธุรกิจชั้นดีออกจากมือ

.
ในหนังสือ “วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับการตีความงบการเงิน” (Buffett & The Interpretation of Financial Statements - Mary Buffett & David Clark) อธิบายเอาไว้ว่าในโลกของวอร์เรนคุณจะมีวันขายธุรกิจชั้นดี ตราบใดที่ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่คุณก็ยิ่งทำเงินได้มากเท่านั้น แถมไม่พอถ้าขายก็ต้องจ่ายภาษี ยิ่งขายไปบ่อยก็ทำให้รวยได้ยาก เพราะฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่ วอร์เรนจะไม่ขายหุ้นออกมา แม้ในช่วงที่ตลาดร่วงก็ตาม
.
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็มีบางครั้งที่เขาจำเป็นที่ต้องขายหุ้นของบริษัทออกมาโดยมีสามเหตุผลด้วยกัน
.
1. เมื่อคุณต้องการเอาเงินไปลงทุนใน ‘บริษัทที่ดีกว่าในราคาที่ดีกว่า’ ซึ่งเรื่องนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวแต่ไม่ได้บ่อยนัก ซึ่งเขาจะขายก็ต่อเมื่อแน่ใจเหรอว่าบริษัทใหม่ที่จะไปซื้อนั้นดีกว่าบริษัทเก่าจริง ๆ เท่านั้น
.
2. เมื่อเห็นว่าบริษัทกำลังสูญเสียความได้เปรียบทางด้านการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ต้องดูเทรนด์ของตลาดด้วย ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเคยเป็นธุรกิจที่ดีมาก แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามา ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจก็เริ่มอ่อนแอลง และเมื่อไหร่ก็ตามที่วอร์เรนไม่แน่ใจว่าบริษัทนั้นยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่ มันก็ไม่ใช่ที่ที่ควรจะเอาเงินไปวางในระยะยาวอีกต่อไป
3. ระหว่างภาวะตลาดกระทิงหรือช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังขึ้นอย่างแรงนั่นเอง เรื่องนี้อาจจะขัดใจใครหลายคนเพราะเราเคยได้ยินว่าเมื่อตลาดกำลังวิ่งก็ Let Profit Run หรือปล่อยให้กำไรวิ่งไปสิ
.
ซึ่งข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าพอตลาดหุ้นเริ่มวิ่งปุ๊บ วอร์เรนขายทันทีเลย ไม่ใช่แบบนั้น เขาจะมองว่าเมื่อมีการซื้อขายหุ้นในตลาดอย่างบ้าคลั่ง (ตลาดกระทิง) ทำให้ราคาของธุรกิจที่ยอดเยี่ยมพุ่งทะลุเพดาน ในกรณีนี้ราคาขายของหุ้นจะเกินความเป็นจริง
.
ความเป็นจริงของเศรษฐกิจในระยะยาวของธุรกิจก็เหมือนกับแรงโน้มถ่วง เมื่อราคาหุ้นพุ่งสูงทะลุฟ้า สุดท้ายแล้วก็จะต้องถูกดึงกลับสู่โลก การขายและนำเงินไปลงทุนที่อื่นอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่จะได้รับจากการครอบครองธุรกิจต่อไป
.
ยกตัวอย่างเช่นหากเราคาดหวังว่าธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของอยู่จะทำกำไรให้ได้ 10 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีคนมาเสนอซื้อทางบริษัทในราคา 5 ล้านเหรียญ เราจะขายไหม?
.
มันก็ต้องดูว่าเราสามารถทำให้เงินตรงนี้งอกเงยได้มากแค่ไหน หากเราเอาเงิน 5,000,000 เหรียญไปลงทุนแล้วได้อัตราผลตอบแทนทบต้น 2% ต่อปีเราคงไม่ขายเพราะว่าจาก 5 ล้านเหรียญที่ลงทุนวันนี้ อัตราดอกเบี้ยทบต้น 2% ต่อปีจะมีค่าเพียงแค่ 7.4 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า
.
แต่ถ้าเราสามารถทำผลตอบแทนทบต้น 8% ต่อปี เงิน 5 ล้านเหรียญของเราจะโตเป็น 23 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นการขายหุ้นก็เหมือนจะเป็นทางเลือกที่น่าคิดไม่น้อย
.
ในหนังสือแนะนำว่าถ้าหาก P/E ของบริษัทชั้นดีมาถึงระดับที่ 40 เท่า นั่นหมายความว่าโอกาสในการขายหุ้นอาจจะมาในอีกไม่ช้า
.
ถ้าขายแล้วควรเอาไปทำอะไรล่ะ? อย่างแรกไม่ควรเอาไปซื้ออีกบริษัทที่กำลังร้อนแรง P/E มากกว่า 40 เท่าในตลาดอีกตัวแน่นอน แต่ให้เก็บเงินเอาไว้ในพันธบัตรรัฐบาลและพักการลงทุนเอาไว้ก่อน พูดอีกอย่างคือให้นั่งทับเงินสดเอาไว้เพื่อรอตลาดหมี (ช่วงขาลงของตลาดหุ้น) ที่จะวนมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน