ห้องเม่าปีกเหล็ก

“Contrarian Strategy” การลงทุนแบบสวนกระแส ที่ Warren Buffett เลือกใช้

โดย PhotoStory
เผยแพร่ :
299 views

“Contrarian Strategy” การลงทุนแบบสวนกระแส ที่ Warren Buffett เลือกใช้ - BillionMoney

 

 

 

การซื้อหุ้นในจุดต่ำสุด แล้วขายออกไปในจุดสูงสุด เป็นความฝันของนักลงทุนหลาย ๆ คน แม้เรื่องดังกล่าวจะดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก จนกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับใครหลายคน

แต่รู้หรือไม่ว่า มีกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยให้เราเข้าใกล้ความฝันนี้ได้ กลยุทธ์นั้นมีชื่อว่า “Contrarian Strategy” หรือกลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแส

แล้วรู้หรือไม่ว่า นักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่าง Warren Buffett เองก็สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจากการใช้กลยุทธ์นี้

และถ้าหากคุณสงสัยว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแส เป็นอย่างไร

BillionMoney จะย่อยให้ฟัง ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ

ถ้าหากใครยังจำได้ ในช่วงปี 2020 ทุกประเทศทั่วโลกต่างเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งใหญ่ จนต้องใช้มาตรการปิดเมืองกันอย่างเข้มข้น

ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ไม่มีความแน่นอน นักลงทุนบางคนกังวลว่าธุรกิจหลายแห่ง อาจจะต้องปิดตัวลงยาวนานนับปี

แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้โลกของเราสามารถคิดค้นวัคซีนได้ ภายในเวลาไม่ถึงปี

นั่นจึงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก สามารถฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องถึงปลายปี 2020

สถานการณ์ข้างต้นเป็นกรณีศึกษาอย่างดี สำหรับการใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแส

หากเรากล้าที่จะคิดต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด แล้วเข้าไปทยอยซื้อหุ้นในช่วงวิกฤติ การลงทุนในครั้งนั้นจะให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการลงทุนแบบสวนกระแสคือ ความมั่นใจในตัวเอง เพื่อให้ตัวเรากล้าที่จะคิดต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด

ซึ่งความยากที่ว่า ก็เปรียบเสมือนการแข่งขันว่ายน้ำแบบทวนกระแสน้ำ เพราะในสภาพแวดล้อมที่เราอยู่นั้น ผู้คนรอบข้าง รวมถึงสื่อที่อยู่รอบตัวเรา จะนำเสนอแต่ข่าวร้าย

นักลงทุนที่ไม่มีความมั่นใจเพียงพอ ก็อาจจะไม่สามารถทนกับความผันผวนในระยะสั้น และพลาดโอกาสในการลงทุนในจุดต่ำสุดของตลาดในที่สุด

หรือไม่ก็อาจจะขายทำกำไรเร็วเกินไป เพราะมัวแต่กังวลว่ากำไรจะหายไป จากความไม่แน่นอนที่ถาโถมเข้ามาในช่วงเวลานั้น

วิธีการที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนใช้ ในการสร้างความมั่นใจให้มากพอ จนสามารถทนต่อความผันผวนของตลาดได้คือ “การศึกษาปัจจัยพื้นฐานของการลงทุนอย่างละเอียด”

เมื่อเราศึกษาปัจจัยพื้นฐานมามากพอ เราจะมีข้อมูลมากพอให้ยึดถือ และไม่หันเหไปตามกระแสความคิดรอบข้างเรา

แต่การศึกษาปัจจัยพื้นฐานของการลงทุนอย่างละเอียด ก็อาจยังไม่ได้ช่วยให้เราลงทุนแบบสวนกระแสได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

เพราะสัจธรรมอย่างหนึ่งของตลาดทุนที่ทุกคนต้องยอมรับคือ ไม่มีใครสามารถรู้จุดต่ำสุดของตลาดได้

โดยในระยะสั้นตลาดมักจะถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ของคนในตลาดเป็นหลัก แต่สุดท้ายแล้วในระยะยาวตลาดจะถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐานของมัน

และอารมณ์ของคนในตลาดก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมาก จนมีคำพูดของอัจฉริยะของโลกคือ Sir Isaac Newton ที่ว่า “ข้าพเจ้าคำนวณการโคจรของดวงดาวต่าง ๆ ได้ แต่คำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์ไม่ได้”

ดังนั้นนักลงทุนแบบสวนกระแส จึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างแยบคาย

แม้ว่าเราจะไม่รู้จุดต่ำสุดของตลาด แต่เมื่อเราศึกษาปัจจัยพื้นฐานมาอย่างละเอียดแล้ว เราก็จะสามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของการลงทุนได้

กลยุทธ์ที่เราควรทำก็คือ การแบ่งเงินลงทุนออกเป็นหลาย ๆ ก้อน เพื่อให้เราสามารถเข้าซื้อหุ้นได้หลายครั้ง

โดยการกำหนดระดับราคาแรกที่เราจะเข้าไปลงทุน แล้วตั้งกฎเกณฑ์ว่าเมื่อราคาลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะใช้เงินก้อนต่อไปเข้าซื้อ

พอเราทำแบบนี้แล้ว ต่อให้เราไม่รู้จุดต่ำสุดของตลาด แต่อย่างน้อยเราก็สามารถเข้าลงทุนให้ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดได้

ตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังของโลกที่ชอบใช้กลยุทธ์นี้คือ Warren Buffett นักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

Warren Buffett ได้นำหลักการเลือกหุ้นแบบเน้นคุณค่าตามหลักการของ Benjamin Graham มาใช้กับกลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแสได้อย่างชาญฉลาด จนกลายมาเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Selective Contrarian Strategy” หรือการลงทุนแบบสวนกระแสอย่างคัดสรร

หลักการคร่าว ๆ ของกลยุทธ์นี้คือ การเข้าไปลงทุนในบริษัทที่นักลงทุนส่วนใหญ่ มีมุมมองทางลบมากเกินกว่าความเป็นจริง

แต่การลงทุนแบบนี้ ต้องเน้นเข้าลงทุนในบริษัทที่ดี มีคุณภาพเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จ

และจะสังเกตได้ว่า Warren Buffett ไม่ได้ซื้อหุ้นมากในคราวเดียว แต่เขามีการทยอยเข้าซื้อ เมื่อราคาตกลงมา

เรียกได้ว่าเป็นการทำ DCA ในหุ้นคุณภาพที่ราคาเริ่มถูกลงมาแล้วนั่นเอง

ในส่วนของการขายทำกำไรนั้น มีหลักการง่าย ๆ ว่า หากบริษัทที่เราถืออยู่มีพื้นฐานดี และมีอนาคต แต่ว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก จากการมองโลกในแง่ดีเกินไปของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด

จังหวะนี้ก็คือช่วงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวผลรางวัลออกมาเป็นเงินสด จากความอดทนซื้อและถือหุ้นสวนกระแสฝูงชน โดยเราอาจจะแบ่งขายหุ้นออกไปสัก 50% เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น

หรือรอโอกาสในการกลับเข้าไปซื้อหุ้นตัวเดิมอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้นกลับเข้าสู่จุดที่สมเหตุสมผล

ดังเช่นที่ Warren Buffett ทยอยขาย เพื่อทำกำไรหุ้น BYD บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากแล้ว

แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็นำเงินไปทยอยซื้อหุ้น TSMC ที่ราคาปรับตัวลดลงมามากแทน..

 

 


PhotoStory