ซีอีโอใหม่RATCH เดินหน้าแผนเพิ่มทุน3หมื่นล้าน หนุนเป้ายุทธศาสตร์ปี68
"ชูศรี"ซีอีโอใหม่ "ราช กรุ๊ป" สานยุทธศาสตร์ปี 68 ดันมูลค่ากิจการแตะ 2 แสนล้านบาท กำลังผลิตไฟฟ้า 1หมื่นเมกะวัตต์ เล็งขยายลงทุนต่างประเทศ หวังส่วนรายได้เพิ่มแตะ 50% ปิดดีลซื้อกิจการเพิ่มสิ้นปีนี้ 3 โครงการ มูลค่าลงทุน3.1 หมื่นล้าน
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ประกาศแต่งตั้ง “นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล” ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ ที่จะเกษียณอายุ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 เป็นต้นไป
นางสาวชูศรี เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์และเป้าหมายการเติบโตภายในปี 2568 ว่า หลังจากนี้ยังมุ่งสานต่อภารกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของราช กรุ๊ป ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ คือ 1. สร้างการเติบโตโครงการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย มีกำลังการผลิตแตะ 10,000 เมกะวัตต์และเพิ่มมูลค่ากิจการเป็น 200,000 ล้านบาทภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 8,292 เมกะวัตต์ และมูลค่ากิจการที่ 120,830 ล้านบาท
2.มุ่งเน้นขยายการลงทุนโครงการด้านพลังงานทดแทน และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีอยู่แล้วและตลาดใหม่ 3.แสวงหาพันธมิตรขยายการลงทุนในต่างประเทศ สร้างสัดส่วนรายได้การลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 50% จากปัจจุบัน20%
4.สร้างมูลค่าเพิ่มขยายการลงทุนสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องและธุรกิจอื่นๆ เพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจพลังงานทดแทน 25%จากปัจจุบัน 15% ที่มี 1,200 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มปีละ 250 เมกะวัตต์ต่อปี เป็น 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ5.การพัฒนายกระดับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลให้ทัดเทียมมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าการบริหารและวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการลงทุน เพื่อรองรับการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทดำเนินการแผนเพิ่มทุน 30,000ล้านบาท พร้อมกับจัดการประสิทธิภาพการใช้งบลงทุน การจัดหาแหล่งเงินทุนหรือเครื่องมือทางการเงินที่มีต้นทุนสมเหตุสมผลและเหมาะกับลักษณะของโครงการ หากเป็นโครงการลงทุนตามแผนจะใช้กระแสเงินสดของบริษัท และแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงบริหารต้นทุนการเงินที่เหมาะสม เพื่อรักษาสภาพคล่องและสถานะทางการเงินมั่นคง
นางชูศรี กล่าวว่า การลงทุนในลักษณะการเข้าซื้อกิจการ (M&A) จะช่วยให้มูลกิจการของบริษัทเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการกระจายการลงทุนไปยังโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะยาว เน้นโครงการลงทุนทางด้านพลังงานทดแทน ทั้งในและต่างประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายไว้ปีละ 5% ของงบลงทุน
อีกทั้งยังสามารถสร้างฐานธุรกิจในต่างประเทศ ร่วมมือกับธุรกิจกลุ่ม กฟผ. ซึ่งเป็นกลไกทำให้การขยายและต่อยอดการลงทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ สปป.ลาว,ออสเตรเลีย,อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น และศึกษาขยายการลงทุนในประเทศอื่นๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และบังกลาเทศ
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะสามารถปิดดีลซื้อกิจการโรงไฟฟ้าจำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,000 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนรวม 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าไพตัน (Paiton) ขนาดกำลังการผลิต 931 เมกะวัตต์ มูลค่ารวม 25,421 ล้านบาท,โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศอินโดนีเซีย มูลค่า 1,500 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงธรรมชาติและชีวมวลในไทยอีกราว 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 9,000 เมกะวัตต์
ส่วนในช่วง 5 ปีข้างหน้ามีแผนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ปีละประมาณ 700 เมกะวัตต์ ผ่านแผนกลยุทธ์การขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า SPP,IPPและพลังงานทดแทนในประเทศ,โครงการโรงไฟฟ้าไพตันและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศอินโดนีเซีย,การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในสปป.ลาวและเวียดนาม รวมถึงการร่วมทุนธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย