คําว่า " มหาอํานาจ ขากถุย! " นั้น " เพื่อนผู้รู้ใจ " หมายถึงประเทศจีน ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “ เติ้ง เสี่ยงผิง “ ที่ได้ประกาศ “ ยุทธศาสตร์ปฏิรูปและเปิดประเทศในปี ค.ศ 1978 “ หลังจากนั้น จีนก็ได้เติบโตขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์ ด้วย GDP เกิน 10% ตั้งแต่ปี ค.ศ 1978 จนถึงปี ค.ศ 2011 ( 33 ปี ) GDP ต่ากว่า 10% ระหว่าง ปี ค.ศ 2012 – 2014 ( 3 ปี ) และ ต่ากว่า 7% ระหว่างปี ค.ศ 2015– 2018 ( 4 ปี ) ส่วน GDP Per Capita นั้น ได้เติบโตจาก 210 USD ต่อ หัว ในปี ค.ศ 1979 มาเป็น 8,827 USD ต่อ หัว ในปี ค.ศ 2017 หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8,827 / 210 = 42.03 เท่า ภายในระยะเวลา 38 ปี
“ เติ้ง เสี่ยวผิง “ เป็นผู้นําและรัฐบุรุษรุ่นที่ 2 ของจีนรองจาก " เหมา เจ๋อตง " เจ้าของวลีเด็ด “ ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี “ เป็นผู้ที่พลิกฟื้นประเทศจีนจากหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก แต่ในสมัย “ เติ้ง เสี่ยวผิง ” นั้น ประเทศจีนยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และสร้างเศรษฐกิจให้ประชาชนมีอยู่มีกินก่อน และยังไม่ได้คิดการใหญ่ไปถึงขั้นจะเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก
ในระยะเวลาต่อมา ประเทศจีนในสมัยประธานาธิบดี Xi Jinping ซึ่งเป็นผู้นํารุ่นที่ 5 ของจีน ได้ริ่เริ่มโครงการที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วโลก 2 โครงการ คือ :
" One Belt One Road ในปี ค.ศ 2013 " และ " Made in China 2025 ในปี ค.ศ 2015 "
โดยมีจุดมุ่งหมายในการที่จะเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกแทนสหรัฐอเมริกาภายในปี ค.ศ 2025
แต่แล้ว ความฝันของจีนก็พลันดับสลาย เมื่อ Donald Trump ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ 2016 และ นโยบายที่สำคัญของประธานาธิบดี Donald Trump ก็คือ “ America Great Again “ และได้เปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีนในปีที่แล้วคือปี ค.ศ 2018 เป็นต้นมา แล้วทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ตามตัวเลขข้างล่าง ดังนี้ คือ :
1) GDP ในปีนี้คือปี พ.ศ 2562 น่าจะโตเพียง 6.2%
2) ตลาดหุ้น Shianghai Composite Index ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลแล้ว -60.01% ตามวัฏจักร Shianghai Composite Index ดังนี้ คือ :
2.1) 6,124 จุด ( เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ปี พ.ศ 2550 และ เป็น All Time High )
2.2) 3,147 จุด เมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 ( ซึ่งเป็นวันก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา1 วัน และ Donald Trump ได้รับการเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา )
2.3) 3,307 จุด หรือ เป็นจุดปิดสิ้นปี พ.ศ 2560
2.4) 2,449 จุด ( จุดตํ่าสุดในรอบนี้เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ปี พ.ศ 2561 )
2.4.1) หรือ ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดตลอดกาล = ( 2,449 - 6,124 ) / 6,124 x 100 = -60.01%)
2.4.2) หรือ ปรับตัวลดลงจาก 3,147 จุด = ( 2,449 - 3,147 ) / 3,147 x 100 = -22.18%)
2.4.3) หรือ ปรับตัวลดลงจาก 3,307 จุด = ( 2,449 - 3,307 ) / 3,307 x 100 = -25.94%)
2.5) 2,514 จุด ( ในวันนี้ วันที่ 4 มกราคม ปี พ.ศ 2561 และ +2.65% จากจุดตํ่าสุดในรอบที่แล้วที่ 2,449 จุด )
3) จีนมีหนี้สาธารณะและหนี้ภาคเอกชนรวมกันถึง 260% ของ GDP
4) ) ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง เมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
5) มีการอัดฉีดสภาพคล่องโดยการตัด RRR 4 ครั้ง ในปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2561 และ 1 ครั้ง ในปีนี้คือปี พ.ศ 2562
6) ดัชนี PMI ของจีนในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ลดลงเหลือ 49.7 จุด ซึ่งตํ่าสุดในรอบ 19 เดือน
7) จีนพึ่งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งแรก ในรอบหลายปี
สิ่งที่ Donald Trump ขู้จีน จนจีนไปไหนมาไหนไม่เป็นมีดังนี้ คือ :
1) Donald Trump บอกว่า " ไม่มีชาติใดในโลกนี้ ที่ชาติตัวเองไปขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของชาติอื่นมาแล้ว จะเป็นมหาอํานาจอันดับ 1 ของโลกได้หรอก! "
2) ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 ( ซึ่งเป็นวันก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่แล้ว 1 วัน และ Donald Trump ได้รับการเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ) จนถึงปัจจุบัน ความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมากกว่าจีน = 47.01% - 19.44% + 22.18% = +49.75%
3) ถ้า 90 วันที่พักรบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังตกลงกันไม่ได้ สหรัฐอเมริกาจะเพิ่มการกีดกันภาษีจาก 10% เป็น 25% สําหรับ 200,000 ล้าน USD เดิม ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 เป็นต้นไป และจะกีดกันภาษีเพิ่มอีก 267,000 ล้าน USD ในอนาคต
หมายเหตุ : ที่มาจาก ( www.bloomberg.com )