จิตวิทยาการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตนเอง
การได้รับความเคารพนับถือที่คู่ควรกับตำแหน่งความรับผิดชอบ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยอัตโนมัติเพราะการแต่งตั้ง บ่อยครั้งที่ผู้นำบางคนรู้สึกว่าไม่มีใครเห็นคุณค่าของเขาอย่างจริงจังในที่ทำงาน หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร ซึ่งหากปล่อยไว้ ก็จะบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานทั้งของตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
มีพฤติกรรมบางอย่างที่ผู้นำควรจะพัฒนาฝึกฝนตนเองจนเป็นนิสัย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ ทั้งส่วนที่ปรากฏแก่คนภายนอก และส่วนที่เป็นความเชื่อมั่นภายใน ซึ่งได้แก่ :

1.แต่งตัวเพื่อความสำเร็จ – ผู้คนตัดสินผู้อื่นเกี่ยวกับอุปนิสัยและความสามารถจากภาพที่ปรากฏโดยอัตโนมัติ มีการวิจัยมากมายที่สรุปว่า การแต่งตัวส่งผลกระทบต่อผู้อื่นว่ามองเราอย่างไร เช่น การแต่งตัวดี และเหมาะสมกับกาลเทศะ จะทำให้ดูเหมือนว่าเราฉลาดมากขึ้น
ฉะนั้น ถ้าการแต่งตัวของเราแสดงถึงความไม่ใส่ใจ หรือไม่สุภาพ ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะสรุปว่า งานที่เราทำก็คงจะหยาบสะเพร่าไม่เรียบร้อยเช่นกัน ตรงกันข้าม ถ้าภาพที่ปรากฏภายนอกของเราดูประณีตเรียบร้อย ผู้ที่พบเห็นก็จะเกิดความเชื่อมั่นต่อความรับผิดชอบและความสามารถของเราเช่นกัน
2.ท่าทางสง่ามีพลัง – ภาษากายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้พบเห็น ถ้าเราใช้ท่าทางที่แสดงถึงความมีพลัง คนอื่นจะมองเราว่ามีอำนาจมากขึ้น เช่น ยืน เดิน นั่ง อย่างมีสติ ตั้งตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ไม่งอตัวไม่ก้มหน้า เคลื่อนไหวร่างกายอย่างกระฉับกระเฉง ไม่เฉื่อยชา สุภาพเหมาะกับกาลเทศะ
3.มีความเชื่อมั่น แต่อย่าเชื่อมั่นจนเกินไป – ไม่มีใครจะเชื่อมั่นในตัวเรา จนกว่าเราจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่เราจำเป็นต้องมีความถ่อมตัวเล็กน้อย คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแท้จริง จะยอมรับว่าตนเองไม่ได้รู้ในทุกเรื่อง โดยไม่รู้สึกว่าเป็นจุดด้อยเลย มีความกระตือรือร้นที่จะถามคำถามและเรียนรู้ ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะแสดงถึงความเชื่อมั่นก็คือ รับรู้สิ่งที่เรารู้และยอมรับสิ่งที่เราไม่รู้ รวมทั้งรู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
4.อย่าทำให้คำพูดของเราฟังดูเหมือนคำถาม – เมื่อเราต้องการพูดอะไรที่เป็นการบอกเล่าข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น ควรพูดให้ฟังดูเป็นการ “บอก” ไม่ใช่เป็นการ “ถาม” เช่น หากเราพูดด้วยระดับเสียงสูงในตอนจบ (โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ) จะเหมือนกับเรากำลังตั้งคำถามว่า ข้อมูลดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่มั่นใจหรือลังเล ทำให้ความน่าเชื่อถือของเราลดลง หรือคนฟังอาจสับสนคิดว่าเราต้องการความคิดเห็นจากพวกเขา
ฉะนั้น ให้ฝึกสังเกตระดับเสียงของตัวเอง และหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “ใช่ไหม” “หรือเปล่า” “ทำไม” “อย่างไร” ถ้าเราไม่ได้ต้องการถามจริงๆ
5.อย่าเพียงแค่รายงาน ให้เล่าเรื่อง – สูตรการพูดที่ประสบความสำเร็จมักจะประกอบด้วยเรื่องราว 75% และข้อมูลที่สนับสนุน 25% การเล่าเรื่องส่งผลทางอารมณ์มากกว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเล่าเรื่องราวที่เชื่อมต่อระหว่างความรู้กับความเป็นจริง ผู้คนจึงจำสิ่งที่เราพูดได้ และให้ความสำคัญกับเรามากขึ้น
6.ส่งเสริมให้ผู้คนพูดถึงเรื่องของเขา – ทางจิตวิทยาพบว่า การได้พูดถึงเรื่องราวของตัวเอง จะทำให้คนที่พูดรู้สึกดี ฉะนั้น ถ้าเราต้องการให้ใครสนใจสิ่งที่เราพูด ควรปล่อยให้เขาพูดเรื่องของเขาก่อน เมื่อเขารู้สึกดีแล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกเชื่อมต่อกับเรา และมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราพูดอย่างจริงจังมากขึ้น
7.ทำการบ้านของเรา – มีการประชุมที่ไม่ประสิทธิผลเกิดขึ้นมากมาย เพราะผู้คนไม่เตรียมตัว ระวังอย่าเป็นหนึ่งในนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับเราก็คือ การเตรียมตัวและมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นประชุมกับหัวหน้าหรือทีมงาน ให้เตรียมตัวเสมอ รู้ว่าต้องการจะพูดอะไร มีข้อมูลสนับสนุนความคิดเห็น และเตรียมที่จะตอบคำถามที่มีรายละเอียดลึกลงไปอย่างเพียงพอ
8.ติดตามข้อมูลข่าวสาร – ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อติดตามว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ โดยเฉพาะแนวโน้มทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อย่าปล่อยให้ตัวเองเหมือนคนที่ไร้เดียงสาต่อโลกปัจจุบันเป็นอันขาด
9.รู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง – รู้ว่าตัวเองเก่งในเรื่องอะไร ทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ และมุ่งมั่นในการปรับปรุงทักษะนั้นให้ยอดเยี่ยม เพื่อใช้จุดแข็งให้เป็นข้อได้เปรียบ และสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้ ขณะเดียวกันก็ตระหนักและยอมรับถึงด้านที่ตนเองไม่มีความถนัด
การเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องได้รับความศรัทธาเชื่อมั่นจากผู้อื่น แม้ว่าการชนะใจคนเพื่อให้ได้รับความเคารพนับถือนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้ ลองฝึกตามแนวทาง 9 ข้อดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ ในไม่ช้าก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
ที่มาข้อมูล.. https://moneyandbanking.co.th/