สรุปหุ้นโลจิสติกส์เมกะเทรนด์โลก กรณีศึกษาหุ้น SJWD

ธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง มีโครงสร้างที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก และมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย ธุรกิจโลจิสติกส์บางประเภทยังอ้างอิงอยู่กับค่าระวางที่อิงกับราคาตลาดโลก ทำให้ความผันผวนของรายได้มีความผันผวนมากกว่าธุรกิจอื่นๆ แต่ถ้าสามารถจับประเด็นได้ถูกต้องและเข้าลงทุนในจังหวะที่ความเสี่ยงต่ำ ส่วนใหญ่แล้วจะให้ผลตอบแทนที่สูงพอสมควรจากธรรมชาติของธุรกิจที่มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายคงที่สูง เพื่อให้การลงทุนในหุ้นโลจิสติกส์ประสบความสำเร็จ มาดูกันว่าในฐานะนักลงทุนต้องรู้อะไรบ้าง?
1. ประเภทของธุรกิจโลจิสติกส์ หุ้นโลจิสติกส์ในตลาดหุ้นไทยเช่น
• หุ้นขนส่งทางบก - KIAT
• หุ้นขนส่งน้ำมันทางเรือ - AMA
• หุ้นเรือขนส่งสินค้า - PSL RCL TTA
• หุ้นนายหน้าระวาง – LEO WICE
• หุ้นขนส่งครบวงจร - III SJWD
SJWD ถือเป็นหนึ่งในหุ้นโลจิสติกส์ที่น่าศึกษาเพราะมีธุรกิจหลากหลายมากๆตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่ก็มีข้อเสียคือพอมีหลายธุรกิจ ทำให้การวิเคราะห์ค่อนข้างยาก และการประเมินสถานการณ์มีความซับซ้อนสูง
2. สัดส่วนรายได้
สัดส่วนรายได้ไตรมาส 2 ปี 2566 รายได้จากกลุ่ม Logistic และ Supply Chain รวม 87.5% แบ่งออกเป็นธุรกิจต่างๆ ดังนี้
• รายได้จาก Transport & Distribution 52% ประกอบไปด้วยธุรกิจขนส่งครบวงจรแบบ B2B D2C Cross Border และ Multimodal Transport
• รายได้จาก Warehouse & Yard Management 13.6% ให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าสำหรับสินค้าทั่วไปบนพื้นที่ทั่วไป สินค้าอันตราย รถยนต์ และสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง และเอกสารและข้อมูล
• รายได้จาก Overseas 12% กลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจขนส่งในต่างประเทศ
• รายได้จาก Other Logistics 9.9% ธุรกิจให้เช่าอาคารสำนักงาน คลังสินค้า ธุรกิจโลจิสติกส์ในกลุ่มธุรกิจเภสัชภัณฑ์และธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจจัดเก็บงานศิลปะเป็นต้น
รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์โดยตรง รวม 12.5% แบ่งออกเป็นธุรกิจต่างๆ ดังนี้
• รายได้จาก Sourcing Business 7.9%
• รายได้จาก Food Supply Chain 2.4% ให้บริการ
• รายได้จากธุรกิจอื่นๆ 2.2%
รายได้ของ SJWD แม้มีหลากหลายประเภท แต่ประมาณครึ่งหนึ่ง หรือ 52% มาจากรายได้จาก Transport & Distribution หรือการขนส่งสินค้านั่นเอง ในขณะที่อันดับ 2 คือเรื่อง Warehouse & Yard Management ดังนั้นรายได้และกำไรของ SJWD จะปรับตัวขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับธุรกิจ Transport & Distribution เป็นหลัก ยิ่งปริมาณการขนส่งเยอะขึ้น ยิ่งทำให้ SJWD มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
3. อัตราการทำกำไรของแต่ละธุรกิจ
อัตรากำไรขั้นต้นแบ่งตามสายงาน ครึ่งปีแรกของปี 2566
• ธุรกิจบริการจัดเก็บและบริหารสินค้า 20.7%
• ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า 10.2%
• ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อื่น 16.2%
• ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ 12.5%
หากเทียบกันธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูงสุดคือธุรกิจบริการจัดเก็บและบริหารสินค้า ซึ่งถ้ารายได้ในส่วนนี้โต จะมีแนวโน้มที่ทำให้กำไรของบริษัทดีขึ้นมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ถัดมา เราจึงไม่ควรดูแต่การเติบโตของรายได้และกำไร แต่ควรติดตามอัตราการใช้งานคลังสินค้าหรือรถขนส่งด้วยว่าใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
4. อัตราการเช่า/ใข้งาน (OCR - Occupancy Rate)
ธุรกิจประเภทคลังสินค้าจะมีปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการใช้งานคลังสินค้านั้นๆว่ามากหรือน้อยแค่ไหน ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งมากยิ่งรายได้เยอะ ยิ่งมากยิ่งกำไรดี
SJWD มีธุรกิจศูนย์บริการนำเข้าส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2566 โดยบทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดว่าจะมีอัตราการเช่าที่สูงเกินกว่า 80% หลังควบรวมกับ SCGL ทำให้รายได้มีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น จากการใช้งานที่สูงขึ้น แน่นอนว่ากำไรก็จะตามมาด้วย
และอัตราการเช่าสำหรับการใช้ห้องเย็นมีแนวโน้มดีขึ้นจากระดับ 57.8% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปี นี่คือตัวอย่างของการดูอัตราการเช่า / ใช้งานของหุ้น SJWD
5. แผนการเติบโต
ธุรกิจโลจิสติกส์จะเติบโตหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าเติบโตหรือเปล่า? เพราะถ้าลูกค้าไม่เติบโต การขนส่งของก็จะไม่โต การใช้คลังสินค้าต่างๆก็จะไม่โตเช่นกัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าในแต่ละธุรกิจพึ่งพิงอยู่กับลูกค้ากลุ่มไหน
ในมุมของ SJWD ซึ่งมีลูกค้าเป็น BYD หนึ่งในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย การนำรถรุ่นใหม่เข้ามาในประเทศไทยของ BYD เข้ามาในลานจอดของ SJWD จะเป็นตัวผลักดันรายได้ของลานจอดของ SJWD
จะเห็นว่าถ้าลูกค้ามีการเติบโตเยอะๆ แนวโน้มที่บริษัทจะโตตามก็มีเยอะ BYD นำรถเข้ามามากขึ้น และมีการเติบโตสูงขึ้น จะเป็นผลบวกกับ SJWD ในทางกลับกันหากธุรกิจของลูกค้ารายใหญ่บางรายมีแนวโน้มลดลง ก็อาจเป็นผลลบกับ SJWD เช่นกัน
6. กลยุทธ์การเติบโต
กลยุทธ์การเติบโตของหุ้นโลจิสติกส์มี 2 แบบด้วยกันคือ การเติบโตแบบ Organic และการเติบโตแบบ In-organic ซึ่งทั้ง 2 กลยุทธ์นี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
การเติบโตแบบ Organic คือการสร้างเอง ทำเอง ค่อยๆเติบโต มีข้อดีคืออาจใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการเติบโตแบบ Inorganic แต่มีความเสี่ยงมากกว่าในการหาลูกค้า และอาจใช้เวลามากกว่าในการเติบโต
การเติบโตแบบ Inorganic หรือที่ทำกันเป็นหลักคือการ M&A หรือเข้าซื้อหุ้นบริษัทอื่นๆ มีข้อดีคือสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีลูกค้าได้ทันที ทำกำไรได้ทันที แต่ข้อเสียคืออาจต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าหากสร้างเอง ดังนั้นบริษัทต้องประเมินให้ดีว่าการซื้อกิจการมีความคุ้มค่าในเชิงของเงินลงทุนมากแค่ไหน
7. บริษัทร่วมทุนและการ Synergy
เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา SCG Logistic และ JWD ทำการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันเป็นบริษัท บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SJWD การควบรวมกันครั้งนั้นทำให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในบริษัท โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
การเป็นหนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดทำให้บริษัทมีความคุ้มค่าในการลงทุน และสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีได้มากขึ้น แชร์ข้อมูลและฐานลูกค้ากัน รวมถึงอาจสามารถลดต้นทุนบางอย่างที่ซ้ำซ้อนกันได้ด้วย สุดท้ายส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทสูงขึ้น
ในปัจจุบัน SJWD ยังคงมีการลงทุนในบริษัทใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่มีกำไรทันที ภายในไตรมาส 4 ปี 2566
จะเห็นว่าการร่วมทุนหรือซื้อกิจการสิ่งสำคัญไม่เพียงมีแค่รายได้ แต่ยังมีกำไร และระยะเวลาที่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องรู้อีกด้วย
8. เครดิตเรทติ้ง
เมื่อมีการลงทุนมหาศาล แน่นอนว่าย่อมต้องมีกลยุทธ์ในการหาเงินเพื่อมาลงทุน ซึ่งหนึ่งในช่องทางที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการออกหุ้นกู้ เมื่อมีการออกหุ้นกู้ เครดิตเรทติ้งจะเข้ามามีบทบาททันทีเพราะเป็นตัวกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายหากมีการกู้ยืม
ยิ่งเครดิตเรทติ้งต่ำ ยิ่งมีโอกาสเสียดอกเบี้ยสูงมากขึ้น ทำให้กำไรลดลง หากเครดิตเรทติ้งสูง จะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่า และกระทบกำไรน้อยกว่าเช่นกัน
ธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนตลอดเวลา ดังนั้นเครดิตเรทติ้งและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรติดตามไม่น้อยไปกว่ารายได้เลย
ปัจจุบัน SJWD มีการได้รับ Upgrade เครดิตเรทติ้งขึ้นมา 3 ระดับอยู่ที่ BBB+ ซึ่งถือเป็นระดับ Investment Grade และมีแนวโน้มได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต
9. เป้าหมายการเติบโต
สุดท้ายสำคัญที่สุดคือเป้าหมายการเติบโต SJWD ตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ Market Cap หรือมูลค่าของบริษัทขึ้นไปสูงถึง 100,000 ล้านบาท จาก 30,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ภายในปี 2027 หรือนับเป็นการเติบโตของมูลค่าบริษัทมากกว่า 200% ในระยะเวลา 4 ปี เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นเป้าหมายการเติบโตที่ค่อนข้าง aggressive พอควร
ดังนั้นนักลงทุนควรต้องศึกษาแผนการเติบโต และช่วงเวลาของการเติบโตไว้ด้วยเพื่อให้สามารถประเมินได้ว่า บริษัทมีโอกาสเติบโตได้อย่างที่วางแผนไว้หรือไม่? อะไรคือความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดและเสียหายกับพอร์ตการลงทุน เพราะการลงทุนในหุ้นโลจิสติกส์ หากถูกทางมักจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าผิดทางก็มักจะสูญเสียมากเช่นกัน



