เชิญอร่อยกับมื้อเย็นครับ
ไทยพาณิชย์หดเป้าศก.ไทย ชี้เลวร้ายสุดอาจร่วงถึง2.7% หากส่งออกทรุดเกินคาด
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยพาณิชย์ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2019 อีกรอบ จาก3.3 % เหลือ 3.1% เหตุผลกระทบจากสงครามการค้า ฟาดหางไปถึงการส่งออกที่คาดว่าอาจจะติดลบถึง 3.1 (-3.1) รวมถึงการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนที่มากเกินคาด ชี้เลวร้ายสุดจีดีพีอาจโตเหลือแค่ 2.7% เท่านั้น เชื่อ กนง.หั่นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด ส่วนเงินบาทยังมีแรงกดดันแข็งค่าต่อ
วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบครึ่งปี โดยครั้งนี้ได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2019 เหลือขยายตัว 3.1% จากประมาณการเดิมที่ 3.3% โดยมีสาเหตุหลักจากภาคการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญโดยเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากภาวะการค้าและการลงทุนของโลกที่ชะลอลงจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่มีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ในส่วนของสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ จีนก็มีมาตรการตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่าราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 5-25% เช่นกัน
@เชื่อสงครามการค้าไม่จบ-มีโอกาสปะทุอีก
และแม้ล่าสุดจากการประชุม G20 ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทางจีนและสหรัฐฯ ได้พักรบจากการขึ้นภาษีลงชั่วคราว แต่ยังมีโอกาสที่จะกลับมาปะทุและทวีความรุนแรงในช่วงข้างหน้า ทั้งนี้จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินในทิศทางผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น
อย่างไรก็ดี คาดว่านโยบายผ่อนคลายดังกล่าวจะทำได้เพียงช่วยพยุงเศรษฐกิจเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ อีไอซีจึงมีการปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวของมูลค่าส่งออกเป็นหดตัวที่ -1.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 0.6% รวมทั้งได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 40.1 ล้านคน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ 4.8% และลดประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวตามการชะลอของเศรษฐกิจในหลายประเทศและการแข็งค่าของเงินบาท
@การใช้จ่ายในปท.ชะลอตัวตามการลงทุน-ส่งออก
ขณะที่ การใช้จ่ายในประเทศได้ชะลอลงตามอุปสงค์ด้านต่างประเทศเช่นกัน การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวตามการหดตัวของภาคส่งออก การชะลอตัวของโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่จากมาตรการ LTV และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังกังวลต่อประสิทธิภาพในการผลักดันและประสานนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลผสมใหม่
@ชี้ความเสี่ยงจากงบปี’63 ล่าช้า
ทางด้านการลงทุนภาครัฐ อีไอซีคาดว่า การลงทุนด้านการก่อสร้างยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องที่ประมาณ 7.0% แต่จะถูกฉุดด้วยการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรที่ไตรมาสแรกหดตัวกว่า -11.7%YOY นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการจัดทำงบประมาณปี 2563 ที่มีแนวโน้มล่าช้าออกไปประมาณ 3 เดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพันและโครงการใหม่ สำหรับการบริโภคภาคเอกชน แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานที่ขยายตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในส่วนที่เกิดขึ้นแล้วในไตรมาสที่ 2 และเพิ่มเติมหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 3.9% ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายสินค้าคงทนโดยเฉพาะการซื้อรถยนต์ที่ขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีความเสี่ยงที่การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง
ด้านนโยบายการเงิน อีไอซีคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงที่อยู่ที่ 1.75% ในปี 2019 แต่มีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% หากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด ความพยายามของ กนง. ในการทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นให้กลับไปสู่จุดดุลยภาพ (policy normalization) และเพื่อสะสมความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy room) คงต้องชะลอตัวออกไปตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกว่าคาดและมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน
@ลุ้นกนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย กระตุ้นศก.
อย่างไรก็ดี จากการประชุมครั้งล่าสุด กนง. ยังส่งสัญญาณค่อนข้าง hawkish โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงชั่วคราวในปีนี้ก่อนจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า ตลอดจนยังคงแสดงความกังวลต่อเสถียรภาพระบบการเงินภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะประเด็นหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นและการประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำเกินไป อีไอซี จึงประเมินในกรณีฐานว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ในช่วงครึ่งหลังของปี ควบคู่กับการใช้มาตรการเฉพาะจุด เช่น Macroprudential measure เพื่อดูแลปัญหาเสถียรภาพระบบการเงิน อย่างไรก็ดี อีไอซีประเมินว่า หากเศรษฐกิจไทยปี 2019 ชะลอลงมากกว่าที่คาดและขยายตัวต่ำกว่า 3% กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในช่วงปลายปีนี้เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ
@ แรงกดดันเงินบาทยังแข็งค่า
นอกจากนั้น อีไอซีประเมินว่า ค่าเงินบาทจะยังได้รับแรงกดดันด้านแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารหลักและธนาคารกลางในภูมิภาค ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลสูง ตลอดจนเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้ามาเป็นช่วง ๆ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมาจากทั้งภายในและภายนอก โดยแม้ว่าล่าสุดหลังการประชุม G20 สถานการณ์ด้านสงครามการค้าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างจากการที่สหรัฐฯ ประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมกับสินค้าของจีน แต่ความเสี่ยงด้านสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยอาจเพิ่มความรุนแรงได้เพิ่มเติมในอนาคต
ซึ่งจากการศึกษาผลประมาณการภายใต้สมมุติฐานต่าง ๆ (Scenario analysis) ของอีไอซีพบว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด (สถานการณ์ด้านสงครามการค้าแย่ลงมากกว่าที่คาดไว้เพิ่มเติม) ในปี 2019 การส่งออกของไทยมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวมากถึง -3.1% และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงมาอยู่ที่ 2.7%
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ต้องจับตาคือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น Brexit และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ที่อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดโภคภัณฑ์ของโลกได้ ขณะที่ ความเสี่ยงภายในประเทศมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยแม้ว่ารัฐสภาจะสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้แล้ว แต่รัฐบาลใหม่ยังมีความท้าทายอีกมาก ทั้งในเรื่องของเสถียรภาพและความสามารถในการผลักดันนโยบาย เนื่องจากเสียงระหว่างพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านมีจำนวนใกล้เคียงกัน และยังรวมถึงการประสานแนวนโยบายระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งในมิติของวิธีการดำเนินนโยบายและเป้าประสงค์ของนโยบาย โดยความไม่แน่นอนด้านนโยบายดังกล่าวจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงอาจมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคเอกชนหลายแห่ง ต่างปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2562 ลง โดย ธปท.ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้จาก 3.8% มาอยู่ที่ 3.3% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรปรับประมาณการลงจาก 3.7% มาอยู่ที่ 3.1% หรือแม้แต่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดลงที่ 3.8% จากเดิม 4%
ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคา 2562 จนถึงปัจจุบัน (YTD) พบว่า มีทั้งภาครัฐและเอกชนอีก 11 แห่ง ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ หรือจีดีพีปี 2562 ได้แก่
– สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดลงที่ 3.8% จากเดิม 4.0%
– สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดลงที่ 3.3 – 3.8% หรือค่ากลาง 3.6% จากเดิม 3.5 – 4.5% หรือค่ากลาง 4%
– คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ปรับลดลงที่ 3.7 – 4.0% (3.9) จากเดิม 4.0 – 4.3% (4.2)
– ธนาคารโลก (ประเทศไทย) ปรับลดลงที่ 3.8% จากเดิม 3.9%
– ธนาคารกรุงไทย ปรับลดลงที่ 3.8% จากเดิม 4.1%
– ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ปรับลดลงที่ 3.8% จากเดิม 4%
– ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ปรับลดลงที่ 3.2% จากเดิม 3.8%
– ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ปรับลดลงที่ 3.0% จากเดิม 3.5%
– ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับลดลงที่ 3.5% จากเดิม 3.8%
– บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ปรับลดลงที่ 3.6% จากเดิม 3.8%
– บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ปรับลดลงที่ 2.7% จากเดิม 4.1%
คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่…13 สำนักโหรเศรษฐกิจ หั่นเป้าจีดีพีปี’62 เหลือ 3-4% ซมพิษสงครามการค้า-ส่งออกฮวบ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก
????SCBS กระแสข่าวภาคบ่าย
???????? ออสเตรเลียปรับเพิ่มเงินทุนกันชนแบงก์พาณิชย์ 3% น้อยกว่าเป้าหมายขั้นต้น
????????จนท.รัฐบาลเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเตรียมถกประเด็นควบคุมการส่งออกสินค้าสัปดาห์นี้
????นักวิชาการคาดหนี้รัฐบาลสหรัฐทะลุเพดานช่วงต้นเดือนก.ย.
????รฟท.เปิดประมูลงานโยธาโครงการรถไฟไทย-จีน 4 สัญญา ราคากลางรวม 3.85 หมื่นลบ.
????"วิษณุ"เผยนายกฯ ประชุม ครม.ใหม่ทันทีหลังถวายสัตย์ เตรียมแถลงนโยบาย
ภาวะตลาดอนุพันธ์: ปรับลงต่อ ขายทำกำไร-รอถ้อยแถลงประธานเฟดมีมุมมองการปรับลดดอกเบี้ยต่อสภา-ในปท.รอดูนโยบายรัฐบาลใหม่
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 9 กรกฎาคม 2562 18:18:47 น.
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การ
ซื้อขาย SET50 Index Futures วันนี้ปรับตัวลงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค โดยมีประเด็นที่ตลาดยังจับตาว่าคณะรัฐมนตรีชุด
ใหม่ (ครม.) จะมีนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร และมองว่าอาจเป็นปัจจัยสร้างสีสันให้ตลาด รวมทั้งรอดูว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้
มากน้อยแค่ไหน
การปรับตัวลงมาจากแรงขายทำกำไรในช่วงระหว่างรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ
(เฟด) ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 10-11 ก.ค.นี้ เพระเป็นปัจจัยสำคัญว่าเฟดจะปรับมุมมองเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยอย่างไร รวมทั้งยัง
ส่งผลต่อ Fund Flow พอสมควร ประกอบกับเงินบาทวันนี้อ่อนค่าหลังจากเห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เงินทุน
ไหลออก แต่หากเฟดลดดอกเบี้ย Flow จะไหลเข้าภูมิภาคและไทยอย่างต่อเนื่อง
ระยะสั้น S50U19 ให้แนวรับแรกที่ 1,133 และ 1,130 จุด หากหลุดเนวรับดังกล่าวให้ระวังอาจมีโอกาสปรับตัวลงต่อ
เนื่องจากแกว่งตัว sideway ด้านข้าง ให้แนวรับถัดไปที่ 1,120 และ 1,112 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,148 และ 1,150 จุด แนะนำ
ให้เปิด short บริเวณ 1,130-1,133 จุด
ส่วนราคทองคำปรับตัวลงใกล้ระดับ 1,380 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หากสามารถล็อกกำไรให้ขายออกก่อน รอฟังถ้อยแถลง
ประธานเฟดที่มีต่อสภาคองเกรส หากส่งสัญญาณว่าเป็นกลางทางการเมืองหรือปลอดจากการเมือง ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณไม่ปรับลดอก
เบี้ย แต่หากเฟดส่งสัญญาณเตรียมพร้อมลดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจชะลอตัวจะเป็นปัจจัยหนุน ให้แนวรับไว้ที่ 1,380 และ 1,360 เหรียญ
สหรัฐ/ออนซ์ ส่วนแนวต้านให้ไว้ 1,400 , 1,410 และ 1,440 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แนะนำหากราคาลงมาใกล้แนวรับ ให้เริ่มทยอยซื้อ
ได้
ดัชนี SET50 ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,136.68 จุด ลดลง 8.88 จุด, -0.78%
ปริมาณ สถานะคงค้าง
Total Market 499,134 3,411,859
Total Futures 492,969 3,363,548
SET50 Index 160,340 363,218
Sector Index - -
Single Stock 296,691 2,904,332
Precious Metal 32,434 58,766
- GF10 15,545 34,429
- GF50 404 2,281
- Gold Online 16,485 22,056
Deferred Precious Metal 600 409
- GOLD-D 600 409
Currency 2,580 36,739
Interest Rate - -
Agriculture 324 84
Total Options 6,165 48,311
Call 3,190 19,487
Put 2,975 28,824
สรุปปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มผู้ลงทุน
นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนภายในประเทศ
Futures +4,511 +4,819 -9,330
Options -292 +86 +206
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]
ส่งความเห็นถึงผู้สื่อข่าว
Facebook
Twitter
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาวะตลาดอนุพันธ์: ปรับลงตามตลาดภูมิภาคกังวลเฟดลังเลปรับลดดอกเบี้ยสิ้น ก.ค.-รอถ้อยแถลงต่อสภากลางสัปดาห์
ภาวะตลาดอนุพันธ์: กลับมาปรับตัวขึ้นจากความชัดเจนทางการเมือง หลังนายกฯ นำรายชื่อครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ
ภาวะตลาดอนุพันธ์: ร่วงช่วงบ่าย จากแรงขายหุ้นบิ๊กแคปที่ปรับตัวขึ้นมามาก-รับรู้ปัจจัยบวกแล้ว
ภาวะตลาดอนุพันธ์: รีบาวด์จากแรงเก็งกำไรหลังจัดตั้งรัฐบาลคืบหน้า-ทองคำขึ้นไปทดสอบไฮเดิม
ภาวะตลาดอนุพันธ์: พักตัวจากแรงขายทำกำไร-ไร้ปัจจัยใหม่ มองสงครามการค้ายังไม่จบ-สหรัฐเล็งเก็บภาษีกับยุโรป
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส set50 ภาวะตลาดอนุพันธ์ ลดดอกเบี้ย SET50 INDEX ครม. คณะรัฐมนตรี เฟด index นโยบายรัฐบาล เศรษฐกิจ ture วิจัย ซื้อขาย ประเทศไทย มุม