
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา14.00น. วันที่25 ธ.ค. ที่ห้องประชุม 2301 อาคาร2 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)กทพ. พร้อมด้วยนายปกรณ์ อาภาพันธ์ กรรมการ กทพ. นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒนา ผู้ว่าการกทพ. นายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและ กรรมสิทธิ์ที่ดิน เข้าชี้แจงต่อ พนักงานกทพ. ประมาณ 500 กว่าคน แต่งกายชุดดำ ที่ร่วมคัดค้านมติคณะกรรมการ(บอร์ด)การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่อนุมัติต่อขยายสัญญาสัปทานทางด่วนที่2 รวมถึงส่วนดี ไปอีก37 ปี กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีอีเอ็ม ที่จะหมดสัปทานเดิมในปี2563 เพื่อแทนการชำระค่าชดเชย ทางด่วนอุดรรัถยา จำนวน 4.3 พันล้านบาท ซึ่งทางดังกล่าวเป็นทางแข่งขัน เป็นข้อพิพาท กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด(NECL) อีกทั้งยังแลกกับคดีฟ้องร้องที่ยังไม่ได้ตัดสินทั้งหมดในชั้นศาล วงเงินรวม 1.3 แสนล้านบาท หรือเป็นการเซ็ตซีโร่กันใหม่ทั้งหมดพร้อมให้เอกชนลงทุนเพิ่ม 3.2 หมื่นล้านบาท เพื่อก่อสร้างทางด่วนสองชั้นระยะทาง 17 กม. ช่วงประชาชื่น-อโศก เพื่อแก้ปัญหาจราจรที่ติดขัดบนทางด่วน โดยสัญญาสัปทาน 30 ปี และหารก่อสร้างทางด่วน 7 ปี
ด้านนายสุรงค์กล่าวว่ามติบอร์ดในการชำระหนี้ทั้งหมดให้เป็นศูนย์นั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดต้องเสนอให้คณะกรรมการกำกับเอกชนร่วมลงทุน หรือพีพีพี เป็นคนตัดสินแนวทางการดำเนินการต่อไป แต่หากทางพนักงาน ยืนยันที่จะต้องการสู้คดี ให้พนักงานลงชื่อเพื่อทำการสู้คดี โดยคณะกรรมการ กทพ.จะรวบรวม ไปให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งพนักงานการทางต้องยอมรับผลการตัดสินและแนวทางการชำระหนี้ทั้งหมดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ รายได้ของพนักงาน อย่างไรก็ตามบอร์ดยืนยันว่า แนวทางการชำระหนี้ของการทางฯทั้งหมด ส่งผลดีต่อการทางฯในอนาคต ซึ่งทั้งหมดต้องให้รัฐบาลตัดสิน โดยทางผู้ว่าฯจะรวบรวมแนวทางไปเสนอคณะกรรมการต่อไป
นายสุชาติกล่าวว่าจากการที่ฟังความเห็นของพนักงานการทางแล้ว โดยเบื้องต้นในวันที่26ธ.ค. คณะกรรมการพีพีพี จะรับฟังความคิดเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องเลื่อนออกไปก่อน เพื่อนำมาทบทวนแนวทางการพิจารณาอีกครั้งอย่างไม่มีกำหนด
ด้านนายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(สร.กทพ.)กล่าวว่า แนวทางการชำระหนี้ที่ยังเป็นไปได้นั้น คือการทางฯชำระหนี้ จำนวน4.3ล้านบาท และการนำทางด่วนขั้นที่ 2 และส่วนดี กับมาเป็นของการทางฯเอง อาจจะสร้างรายได้และศักดิ์ศรี ของการทางฯ ได้ อยากให้การทางฯพิจารณาเป็นคดีๆไป เพราะการต่ออายุสัปทานทางด่วนไป 37ปี จะส่งผลให้เอกชนได้รายได้รวมทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาท และรายได้ไม่ใช่ด่วนขั้นที่2 อย่างเดียวยังได้รายได้จากทางด่วนขั้นที่1 และอุดรรัถยาด้วย ซึ่งรายได้เหล่านั้นควรจะเป็นของการทางฯ ซึ่งสหภาพฯและพนักงานมองว่า หากการทางฯนำทางด่วนมาบริหารเอง รายได้ก็จะตกอยู่ที่การทางฯอย่างเดียว ไม่ว่าจะกี่คดีต่อจากนี้ที่การทางจะต้องสู้หรือหากแพ้และต้องชำระนี้ อย่างการทางฯก็มีเงินจ่ายอยู่ดี ซึ่งเบื้องต้นสหภาพฯได้ประกาศจุดยืน ดังนี้ หลักๆคือ บอร์ดต้องยกเลิกมติคณะกรรมการ กทพ.เมื่อวันที่20ธ.ค. และการขยายสัปทานทางด่วนขั้นที่2 ตามสัญญาข้อที่21 การทางฯควรนำทางด่วนมาบริหารเองหลังหมดสัปทานในปี63 รวมถึงทางด่วนสายอุดรรัถยา(บางปะอิน-ปากเกร็ด)ด้วย และส่วนที่เป็นข้อพิพาทของเอ็นอีซีแอล ที่ศาลปกครองตัดสินก็ให้การทางญหาวิธีการชำระตามจำนวนที่เหมาะสม สำหรับข้อพิพาทระหว่างบีอีเอ็มฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจาการทางให้นำเข้าสู่กระบวนการของศาลทั้งหมด
ด้านนายสุรงค์กล่าวว่ามติบอร์ดในการชำระหนี้ทั้งหมดให้เป็นศูนย์นั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดต้องเสนอให้คณะกรรมการกำกับเอกชนร่วมลงทุน หรือพีพีพี เป็นคนตัดสินแนวทางการดำเนินการต่อไป แต่หากทางพนักงาน ยืนยันที่จะต้องการสู้คดี ให้พนักงานลงชื่อเพื่อทำการสู้คดี โดยคณะกรรมการ กทพ.จะรวบรวม ไปให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งพนักงานการทางต้องยอมรับผลการตัดสินและแนวทางการชำระหนี้ทั้งหมดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ รายได้ของพนักงาน อย่างไรก็ตามบอร์ดยืนยันว่า แนวทางการชำระหนี้ของการทางฯทั้งหมด ส่งผลดีต่อการทางฯในอนาคต ซึ่งทั้งหมดต้องให้รัฐบาลตัดสิน โดยทางผู้ว่าฯจะรวบรวมแนวทางไปเสนอคณะกรรมการต่อไป
นายสุชาติกล่าวว่าจากการที่ฟังความเห็นของพนักงานการทางแล้ว โดยเบื้องต้นในวันที่26ธ.ค. คณะกรรมการพีพีพี จะรับฟังความคิดเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องเลื่อนออกไปก่อน เพื่อนำมาทบทวนแนวทางการพิจารณาอีกครั้งอย่างไม่มีกำหนด
ด้านนายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(สร.กทพ.)กล่าวว่า แนวทางการชำระหนี้ที่ยังเป็นไปได้นั้น คือการทางฯชำระหนี้ จำนวน4.3ล้านบาท และการนำทางด่วนขั้นที่ 2 และส่วนดี กับมาเป็นของการทางฯเอง อาจจะสร้างรายได้และศักดิ์ศรี ของการทางฯ ได้ อยากให้การทางฯพิจารณาเป็นคดีๆไป เพราะการต่ออายุสัปทานทางด่วนไป 37ปี จะส่งผลให้เอกชนได้รายได้รวมทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาท และรายได้ไม่ใช่ด่วนขั้นที่2 อย่างเดียวยังได้รายได้จากทางด่วนขั้นที่1 และอุดรรัถยาด้วย ซึ่งรายได้เหล่านั้นควรจะเป็นของการทางฯ ซึ่งสหภาพฯและพนักงานมองว่า หากการทางฯนำทางด่วนมาบริหารเอง รายได้ก็จะตกอยู่ที่การทางฯอย่างเดียว ไม่ว่าจะกี่คดีต่อจากนี้ที่การทางจะต้องสู้หรือหากแพ้และต้องชำระนี้ อย่างการทางฯก็มีเงินจ่ายอยู่ดี ซึ่งเบื้องต้นสหภาพฯได้ประกาศจุดยืน ดังนี้ หลักๆคือ บอร์ดต้องยกเลิกมติคณะกรรมการ กทพ.เมื่อวันที่20ธ.ค. และการขยายสัปทานทางด่วนขั้นที่2 ตามสัญญาข้อที่21 การทางฯควรนำทางด่วนมาบริหารเองหลังหมดสัปทานในปี63 รวมถึงทางด่วนสายอุดรรัถยา(บางปะอิน-ปากเกร็ด)ด้วย และส่วนที่เป็นข้อพิพาทของเอ็นอีซีแอล ที่ศาลปกครองตัดสินก็ให้การทางญหาวิธีการชำระตามจำนวนที่เหมาะสม สำหรับข้อพิพาทระหว่างบีอีเอ็มฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจาการทางให้นำเข้าสู่กระบวนการของศาลทั้งหมด