ห้องเม่าปีกเหล็ก

อดีตผู้ว่าธปท. เผย 7 ปัญหาไทยต้องเร่งแก้ไข

โดย คเณชา
เผยแพร่ :
57 views

อดีตผู้ว่าธปท. เผย 7 ปัญหาไทยต้องเร่งแก้ไขก่อนกลายเป็น Tipping Point ของประเทศ

ดร. วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ในการประชุมประจำปี 2564 Mission to Transform : 13 หมุดหมาย พลิกโฉมประเทศไทยของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ว่าโลกในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 เป็นโลกที่มีลักษณะ VUCA คือ V-Volatility ความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น  U-Uncertainty ความไม่แน่นอน  C-Complexity ความซับซ้อน  A-Ambiguity ความคลุมเครือ

“การตั้งรับโลกในระยะข้างหน้าที่จะมีความเปลี่ยนแปลงรุนแรงและซับซ้อนกว่าเดิม คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อให้สามารถรอบรับกับการเปลี่ยนแปลงที่มีความไม่แน่นอนได้ รวมถึงต้องคิดในลักษณะหลายฉากทัศน์มากขึ้นเนื่องจากการที่เราคิดว่าถ้าทำ ก. แล้วจะได้ผล ข. จะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”

ดร. วิรไท กล่าวว่า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ประเทศไทยต้องวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมควบคู่ไปพร้อมกับการมองจุดเปลี่ยน  จุดหักเห หรือจุดอันตราย (Tipping Point) ของประเทศ โดยประเทศไทยมีเรื่องที่ผ่าน Tipping Point มาแล้วคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  โครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ที่สร้างผลกระทบเป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผลลัพธ์แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยยังขาดการเตรียมตัวตั้งรับกับเหตุการณ์ดังกล่าวในหลายๆ ด้าน 

โดยปัจจุบันประเทศไทยมี 7 ปัญหาที่กำลังต้องเผชิญโดยเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนตั้งรับและเร่งแก้ไขก่อนจะกลายเป็น Tipping Point  และส่งผลให้เกิดปัญหาต่อกันเป็นโดมิโนได้แก่

         1.ปัญหาขนาดของภาครัฐไทยที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากขึ้น ส่งผลให้ต้องมีการใช้งบประมาณในส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อการใช้งบด้านอื่นๆ โดยเฉพาะงบลงทุน และข้อจำกัดทางด้านการคลังโดยเฉพาะที่เกิดจากวิกฤตโควิด-19 

         2. ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ที่มีฐานะ และผู้ยากจน ที่เริ่มเห็นเส้นแบ่งทางสังคมมากขึ้น ทั้งการเข้าถึงการศึกษา การเข้าถึงโอกาสในการทำธุรกิจหรือความสามารถในการแข่งขันของ SME รายใหญ่และรายเล็ก รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ต่างกันระหว่างรายใหญ่กับรายเล็กซึ่งส่งผลกระทบต่อการหารายได้และโอกาสในพัฒนารายในอนาคต

         3. ความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยต้องระวังไม่ให้ไทยหลุดไปจาก Global Value Chain นอกจากนี้ไทยยังไม่ได้อยู่ในกรอบ FTA ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิดการค้าแบบเสรีส่งผลให้ไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศลดลง

          4. ความเห็นต่างของคนระหว่างรุ่นที่มีความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งโจทย์ที่ใหญ่มาก ต้องมาคิดว่าทำอย่างไรให้ความจัดแย้งระหว่างรุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันเบาบางลง ต้องพยายามตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ไปพร้อมกับการดูแลของคนรุ่นเก่า

         5. คุณภาพของระบบการศึกษาไทยโดยหากวัดคุณภาพการศึกษาไทยในระบบนานาชาติ การศึกษาไทยไม่ค่อนได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่การแข่งขันในอนาคตจะสูงขึ้นมา โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต

         6. ความสามารถจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีผลต่อต้นทุนชีวิต โดยระบบนิเวศของไทยไม่ได้เอื้อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากไทยตกขบวนรถไฟเทคโนโลยีจะส่งผลระยะยาวทั้งในด้านต้นทุนการใช้ชีวิต และต้นทุนการทำธุรกิจ

        7. ปัญหาการคอรัปชั่น โดยการคอรัปชั่นในประเทศไทยยังเป็นปัญหาที่รุนแรงมากในประเทศไทยและเกิดการคอรัปชั่นในหลากหลายระดับ ซึ่งประเทศไทยต้องไม่ทำให้การคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติในสังคมเนื่องจากจะส่งผลต่อทุกหมุดหมายที่ต้องการทำ เพราะจะทำให้คนเก่งไม่มีที่ยืนเนื่องจากแข่งขันไม่ได้จากความไม่เป็นธรรม 

“ใน 7 ปัญหาดังกล่าว มีหลายปัญหาที่ประเทศไทยมีการพูดถึงและแก้ไขมาอย่างยาวนานแต่ยังไม่สามารถแก้ได้ โดยในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ควรมี key success ที่จะทำให้เกิดการพลิกโฉมของประเทศที่สำคัญคือ  ให้น้ำหนักกับเรื่องที่มีความสำคัญก่อน ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญที่สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด  และต้องแก้ปัญหาด้วยหลักแนวคิดที่มั่นคงและแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา”

 


คเณชา