ห้องเม่าปีกเหล็ก

โบรกคาด BCH รับรายได้วัคซีนสูงสุด

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
61 views

โบรกคาด BCH รับรายได้วัคซีนสูงสุด 2.8 พันล้าน จ่ออัพราคาเป้าหมาย

หุ้นโรงพยาบาลพุ่งแรง! พบกว่า 6 เดือนที่ผ่านมาผลตอบแทน 20.17% ชนะดัชนี SET อานิสงส์ตรวจโควิด-วัคซีนทางเลือก "บล.เอเซีย พลัส" ประเมิน BCH รับรายได้วัคซีนสูงสุด 2.8 พันล้าน "บล.เมย์แบงก์ฯ" คาดตลาดเล็งเพิ่มเป้ากำไร-ราคาเหมาะสมปีนี้ หลังประชุมนักวิเคราะห์

จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ณ วันที่ 16 ก.ค.2564 พบว่า ดัชนีราคาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ (ดัชนี HELTH) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มหุ้นโรงพยาบาล ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (17 มิ.ย. - 16 ก.ค.) เพิ่มขึ้น 4.53% มากกว่าดัชนี SET ที่ลดลง 3.10%

ขณะที่ต้นปีถึงปัจจุบัน (4 ม.ค. - 16 ก.ค.) เพิ่มขึ้น 20.17% มากกว่า SET ที่ให้ผลตอบแทน 8.63% โดยหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมากที่สุด นำโดย บมจ.เชียงใหม่รามธุรกิจการแพทย์ (CMR) เพิ่มขึ้น 89.77% บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) 85.66% และ บมจ.ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ (VIH)

ทั้งนี้ เป็นผลจากที่กลุ่มโรงพยาบาลถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการระบาดของโควิด-19 มากที่สุด แม้จำนวนผู้ใช้บริการตรวจโรคทั่วไปจะลดลงจากความกังวลเข้าใช้บริการ แต่ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และการรับบริการต่อเนื่องหากตรวจพบว่า และ ล่าสุด คาดว่ากลุ่มโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากการจำหน่ายวัคซีนทางเลือก

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า กระแสข่าวจัดสรรวัคซีนทางเลือกคาดว่าจะเป็นผลบวกต่อ BCH มากที่สุด ล่าสุด องค์การเภสัชกรรมกำหนดช่วงเวลาลงนามสัญญาซื้อวัคซีนจาก บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด วันที่ 23 ก.ค.นี้ ขณะที่การสำรวจของกับโรงพยาบาลบางแห่งที่ฝ่ายวิจัยจัดทำบทวิเคราะห์ครอบคลุม กอปรกับกระแสข่าวการจัดสรรวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) แก่โรงพยาบาลเอกชนบนสื่อสังคมออนไลน์ ค่อนข้างจะสอดคล้องกัน

โดยข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าการกระจายวัคซีนล็อตแรก 3.9 ล้านโดส จะจัดสรรแบ่งตามสัดส่วนการสั่งซื้อ ซึ่งผู้ที่มีการสั่งซื้อและได้รับจัดสรรสูงสุด ได้แก่ BCH 1.36 ล้านโดส บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) 6.8 แสนโดส บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 2.4 แสนโดส และ บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) 1.9 แสนโดส ตามลำดับ ขณะที่ในส่วนของ บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9) 3.5 หมื่นโดส บมจ.โรงพยาบาลราชธานี (RJH) 2.6 หมื่นโดส และ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) 1.8 หมื่นโดส ดังนั้น ภาพรวมประเมินเป็นปัจจัยบวกต่อโรงพยาบาลที่ได้รับการจัดสรรสูงอย่าง BCH และ CHG

ทั้งนี้ หากกำหนดให้วัคซีนล็อตที่ 2 รวม 1.1 ล้านโดส ที่จะเข้ามาในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 มีสัดส่วนการจัดสรรเหมือนล็อตแรก ภายใต้สมมติฐานวัคซีนรวม 5 ล้านโดสดังกล่าว (ยังไม่รวมล็อตที่ 3 ราว 5 ล้านโดส) ราคาวัคซีนที่ 1,650 บาทต่อโดส และอัตรากำไรขั้นต้น (Net Profit Margin) ที่ 10% จะเป็นผลบวกต่อ BCH และ CHG มากสุดจากฐานกำไรที่เล็ก โดยคาดว่ากำไรปี 2564 จะที่เพิ่มขึ้น 9.7% และ 3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยจะติดตามข้อมูลการจัดสรรจริงอีกครั้งก่อนปรับรวมในประมาณการและมูลค่าหุ้น

"จากกระแสข่าวดังกล่าวน่าจะเป็นประเด็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะ BCH และ CHG จากปัจจัยบวกเพิ่มเติม (อัพไซด์) ดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร BCH ที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด ประกอบกับ กไรที่จะเติบโตทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ในงวดไตรมาส 2 ปี 2564 ขณะที่การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังชอบ BDMS จากความต่อเนื่องของกำไรปี 2565 ที่คาดหวังได้ชัดเจนกว่า"

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์กิม​เอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลจะปรับขึ้นเต็มราคาเหมาะสมของปี 2564 ไปแล้ว แต่ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุนยังแนะนำซื้อ BCH เพราะคาดว่ากำไรไตรมาส 2 ปี 2564 ที่จะประกาศออกมาวันที่ 16 ส.ค.จะดีกว่าคาดการณ์เท่าตัว จากเดิมคาดมีกำไรสุทธิประมาณ 500 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท

ภายหลังผู้บริหารเปิดเผยในการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) วันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจำนวนตรวจเคสโควิด-19 ในไตรมาส 2 ปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว จาก 1 แสนเคสในไตรมาสแรก มาอยู่ที่ 5.8 แสนเคส นอกจากนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารเปิดเผยแนวโน้มการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไตรมาส 3 ปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวมาอยู่ที่ 9 แสนถึง 1 ล้านเคส เพราะสถานการณ์การระบาดที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ความกังวลที่ชุดตรวจแบบเร่งด่วน (Rapid Antigen Test) จะส่งผลให้ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 เข้ามาใช้บริการน้อยลงนั้น กลับพบว่าผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อมีแนวโน้มเข้ามาตรวจหาเชื้อซ้ำ (Double Check) ที่โรงพยาบาล และเข้ารับการรักษาเพิ่มเติม ดังนั้น จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นคาดว่าตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป (19-23 ก.ค.) นักวิเคราะห์จะทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 2564 และคาดว่าราคาเหมาะสมในตลาดจะเพิ่มขึ้นที่ระดับประมาณ 30 บาทต่อหุ้น

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น