จิม โรเจอร์ อินเดียน่าโจนส์แห่งวอล์สตรีทและนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ ได้กล่าวเอาไว้ว่า ตอนนี้เขากำลังสนใจลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของ"น้ำสะอาด" เขานิยามน้ำสะอาดไว้ว่า Blue gold(ทองคำสีฟ้า) สาเหตุที่เขานิยามว่ามันเปรียบได้ดั่งทอง คือ มนุษย์โลกไม่มีทองคำอยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่สะอาดจะอยู่ไม่ได้ และในอนาคตมันจะมีค่าแพงมากกว่าทองซะอีก ..
ในช่วงหลายปีมานี้ มนุษย์ได้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและความเจริญในด้านของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ก็ได้ไปเบียดเบียนธรรมชาติให้เปลี่ยนไป การเกิดมลภาวะ มลพิษทางอากาศและดิน จะทำให้น้ำเหล่านี้เกิดการปนเปื้อนและไม่สะอาดเหมือนเดิม เมื่อมนุษย์ดื่มน้ำที่ไม่สะอาดก็จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมา
ตามรายงานของโกแมนแซค รายงานว่า ในปี 2030 โลกจะขาดแคลนน้ำสะอาดอย่างรุนแรง ประชากรมากกว่า 3 พันล้านคนจะเข้าไม่ถึงน้ำสะอาด จะเกิดภาวะแห้งแล้ง การเพาะปลูกหยุดชะงัก สินค้าเกษตรจะมีราคาสูงขึ้น ในขณะที่ทองคำและน้ำมันอาจจะไม่จำเป็นในโลกอนาคต ดังนั้นนักลงทุนรุ่นใหม่ควรจะให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรที่ดูเหมือนจะตกต่ำในยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องของ"น้ำสะอาด" ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น สามารถนำน้ำสกปรกหรือน้ำทะเลมากลั่นเพื่อให้เกิดน้ำสะอาด แต่ต้นทุนเหล่านั้นมีมูลค่าที่สูงเกินไป มีมนุษย์จำนวนไม่มากที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ การเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อหาน้ำสะอาดดื่มอาจจะแพงกว่าการซื้อน้ำหวานกินก็เป็นได้ และการดื่มน้ำหวานมากๆ ปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวานก็จะตามมา
อีแลน เคเนดี้ ผู้จัดการกองทุนของบริษัท Calvert Investments กล่าวว่า ทางเราเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการลงทุนทางด้านน้ำสะอาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทำน้ำดื่ม บริษัทรับจ้างผลิตน้ำ บริษัทที่ทำเครื่องกรองน้ำ รวมแล้วเรียกว่า Water Fund ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ใหม่และสอดคล้องกับธีมเรื่องของการขาดแคลนน้ำที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในปี 2030 ประชากรกว่าครึ่งโลกจะเข้าไม่ถึงน้ำสะอาด
Fresh water crisis
(วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำสะอาด)
อย่างที่เคยกล่าวไว้จากรายงานของโกลแมนแซคบอกไว้ว่าประชากรกว่าครึ่งโลกจะเข้าไม่ถึงน้ำสะอาดที่จะใช้ในการอุปโภค บริโภค เรื่องของน้ำสะอาดจะกลายมาเป็นวิกฤตอย่างแน่นอนเพราะมลพิษทางอากาศ ภาวะโลกร้อน การแห้งขอดของน้ำในแม่น้ำ จะทำให้น้ำสะอาดหายากขึ้น ถึงแม้ว่าโลกของเราจะมีเรื่องของการฝนตก การกลั่นน้ำจากธรรมชาติที่จะทำให้น้ำไม่หมดไปจากโลก แต่น้ำที่เกิดจากการกลั่นไม่ ก็ไม่สะอาดพอที่จะบริโภคได้ จำเป็นจะต้องกลั่นและกรองอีกรอบเพื่อสะอาดพอในการบริโภค และต้นทุนต่อหน่วยก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
จากรายงานของ The World Economic Forum กล่าวไว้ว่าโลกเราจะขาดแคลนน้ำอย่างหนักในปี 2030 และทางรัฐบาลของทุกประเทศต้องใส่ใจในเรื่องนี้ การประมาณการงบการลงทุนน่าจะไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เพียงพอต่อประชากรที่โลกนี้มีอยู่
--------------------------------------
สำหรับในประเทศไทยแล้ว น้ำดื่ม น้ำสะอาดเป็นเรื่องที่หาง่ายมาก เดินเข้าห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านก็มีกันในราคาไม่แพงอีกด้วย ในขณะที่ต่างประเทศน้ำดื่มค่อนข้างแพงขวดละ 40-50 บาท ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนคิดว่าดื่มน้ำหวานที่ราคาถูกกว่าดูมีความคุ้มค่ามากกว่า ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะดูเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ในด้านการลงทุนก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย ไม่แน่ว่าในอนาคตน้ำดื่มสะอาดอาจจะมีราคาแพงและมีความสำคัญมากกว่าทองคำก็เป็นได้
ก็เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจอยากจะมาแชร์กันครับ