“โรงแรมไทย 2025” รายได้หดครั้งแรกในรอบ 5 ปี
นักท่องเที่ยวลด - อัตราเข้าพักร่วง - ต้นทุนพุ่ง
นี่คือ 7 สัญญาณที่นักลงทุนและเจ้าของโรงแรมต้องจับตาให้ดี
ปี 2568 กลายเป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับธุรกิจโรงแรมไทย หลังจากโตแรงหลายปี post-COVID ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า…

รายได้รวมของธุรกิจโรงแรมจะ “หดตัว 4.5%” จากปีก่อน เหลือ ~1 ล้านล้านบาท
ถือเป็น “การหดตัวครั้งแรก” ในรอบ 5 ปี ทั้งฝั่งรายได้ค่าห้องพัก และงานสัมมนา
สาเหตุไม่ได้มาจากแค่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอ แต่เกิดจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน
…
7 ปัจจัยลบที่กดดันธุรกิจโรงแรมไทยในปี 2025
นักท่องเที่ยวจีนหาย 35%
ช่วง 7 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวจีนมาไทยหายไปกว่าหนึ่งในสาม ขณะที่เวียดนามกลับโต +46% สวนทางไทยชัดเจน
นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมลด 9% YoY
เหลือราว 32.2 ล้านคน นักท่องเที่ยวพักเฉลี่ยสั้นลง → รายได้/หัวลดตาม
คนไทยเที่ยวเยอะขึ้น…แต่ไม่ค้างคืน
พฤติกรรมเที่ยวแบบ one-day trip เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะจากกลุ่มนักทัศนาจร ทำให้รายได้ต่อทริปลดลง
OCC ลดเหลือ 69.8% | ADR ลดอีก 4%
ต้องลดราคาเพื่อแย่งลูกค้าในตลาดที่ทรงตัว → กระทบทั้งยอดขายและ margin
รายได้จากงานสัมมนา/อีเวนต์ร่วง 13%
ครึ่งปีแรกหดตัวแรงจากทั้งภาครัฐ-เอกชน รวมถึงคอนเสิร์ตระดับโลกที่จัดน้อยลง
ต้นทุนพนักงานเฉลี่ย = 25–30% ของต้นทุนรวม
กลุ่มโรงแรมในจังหวัดรองเจอผลกระทบแรงสุด บางแห่งต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น 14–19% แต่ไม่สามารถขึ้นราคาห้องได้
หนี้ยังเยอะ – รายได้ยังไม่เต็ม
ผู้ประกอบการ SME โรงแรมจำนวนมาก ยังมี D/E สูงกว่า 3.5 เท่า → ขาดกระสุนในการฟื้นตัวหรือลงทุนเพิ่ม
…
กลุ่มไหนเสี่ยง กลุ่มไหนรอด?
กลุ่มเสี่ยงสูง
– โรงแรมที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีน/เกาหลี
– จังหวัดชายแดน (สระแก้ว, อุบลฯ)
– โรงแรมระดับ Upscale ที่เพิ่งเปิดใหม่ ยังไม่ได้ Break-Even
กลุ่มที่ยังพอเติบโต
– จังหวัดที่คนไทยนิยมเที่ยว (กาญจนบุรี, โคราช, พังงา, นครศรีธรรมราช)
– โรงแรมเล็กที่ lean และอยู่ใน niche segment
– กลุ่มที่ปรับตัวไปแนว “โรงแรมยั่งยืน” (Sustainable Hospitality) เพื่อรองรับ demand จากบริษัทใหญ่และลูกค้า ESG
…
แนวโน้ม 3-5 ปีข้างหน้า
1. Sustainability ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่เป็น License to Operate
ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป การจัดซื้อ/จัดงานจากภาคธุรกิจจะเริ่มใส่ requirement ว่าต้องใช้โรงแรม ESG-friendly เท่านั้น
2. การแข่งขันภูมิภาคเดือด – เวียดนามแซงไทยแล้วในฝั่ง “จำนวนนักท่องเที่ยวจีน”
หากรัฐไม่อัดมาตรการพัฒนา Tourism Infrastructure จริงจัง ไทยอาจเสีย share แบบถาวร
3. Data + Loyalty Program จะกลายเป็น “อาวุธใหม่”
โรงแรมที่เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าลึกกว่าและทำ CRM ได้ดี จะชนะในโลกที่คนเดินทางน้อยลงแต่คาดหวังมากขึ้น
…
สรุปสำหรับนักลงทุน
หุ้นโรงแรมปี 2568 ไม่ได้พัง — แต่ “ต้องเลือก”
กลุ่มที่เน้นนักท่องเที่ยวจีน, โรงแรมเปิดใหม่, หรือมีหนี้สูง
อาจยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
เพราะปีนี้ทั้ง อัตราการเข้าพัก (OCC) ลดเหลือ 69.8%
และ ราคาห้องเฉลี่ย (ADR) ลดลงอีก 4%
→ แปลว่าขายห้องได้ยากขึ้น และต้อง “ลดราคาแย่งลูกค้า”
กระทบทั้งรายได้และ margin โดยตรง
ในขณะที่ฝั่งที่เน้นตลาดคนไทย, บริหารต้นทุนดี, และขยายแนว โรงแรมยั่งยืน (Sustainable Hotel)
อาจได้อานิสงส์จาก shift นี้แบบไม่ต้องพึ่งต่างชาติเต็มตัว
ใครถือ MINT, ERW, CENTEL, SHR หรือ REITs โรงแรม
ควรกลับมาทบทวน thesis เพราะ Landscape การท่องเที่ยวไทยกำลังเปลี่ยนไปแบบเงียบๆ
ที่มา. หุ้นพอร์ทระเบิด