14 หุ้นเด่นน่าลงทุนรับปัจจัยบวกในปี 2565
ปี 2565 เศรษฐกิจไทยถูกคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวในระดับ 3-4% จากสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทั้งท่องเที่ยวที่คาดจะกลับมาเติบโตจากการเปิดประเทศ และภาคส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ในแง่ของการลงทุนนักวิเคราะห์ก็มีมุมองเชิงบวกเช่นเดียวกัน โดยบล.กสิกรไทย ระบุว่า ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยมีเป้าหมายปี 2565 ที่ 1,680 จุด อิงจากกำไรต่อหุ้นที่ 95.53 บาท และ EYG ที่ 3.71% (-0.75SD) และคงความเห็นด้านบวกต่อเศษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่า GDP ปี 2565 ของไทยจะขยายตัวขึ้น 3.7% จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น การเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง มาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกที่แข็งแกร่ง รวมถึงอุปสงค์จากทั่วโลก โดยมองว่าตลาดหุ้นมีความท้าทายมากขึ้นตามลำดับเมื่อ Fed เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังปีหน้า ทั้งนี้ ไม่คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การท่องเที่ยว
ปี 2565 จะคล้ายกับปี 2560
คาดว่าสภาวะตลาดในปี 2565 จะใกล้เคียงกับปี 2560 ที่ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสามครั้ง ขณะที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เพื่อรองรับเศรษฐกิจภายในประเทศ ในปี 2560 ดัชนี S&P 500 (+22% YOY) และ ดัชนีราคา SET Index (+13%) ให้ผลตอบแทนในระดับดี แต่ทั้งคู่ปรับตัวลดลงในปีต่อมาที่ 4% และ 13% ตามลำดับ จากผลกระทบสะสมของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงสูงและใช้เวลาในการลดลงมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
ภาวะเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักที่จะมีผลกระทบมากที่สุดในปี 2565 เนื่องจากตัวเลขคาดการณ์บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่มีความหนืดมากขึ้น เมื่อเทียบกับแนวโน้มระยะสั้นของ FED ความเสี่ยงอื่นที่เป็นอันตรายมากกว่า ได้แก่ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และภาวะ hard-landing ของจีน แม้ว่าโดยทั่วไปเราจะมีมุมมองเชิงบวกต่อการเลือกตั้งของประเทศไทย แต่การหาเสียงเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของภาคส่วนที่อ่อนไหวต่อการเมือง เช่น นิคมอุตสาหกรรม EV PPP และโครงการขนาดใหญ่
6 ธีมหุ้นแนะนำลงทุน
สำหรับหุ้นเด่นแนะนำลงุทน ฝ่ายวิเคราะห์ตัด BBL AOT AMATA BGC ASK และ CK ออกจากรายชื่อหุ้นเด่นของเราและเลือก OSP LH STEC SPRC PTG GFPT EPG BLA SCB และ ADVANC เข้ามาแทน ปัจจุบันมีธีมลงทุนทั้งหมด 6 รูปแบบ ได้แก่
1.ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง (CPALL OSP LH และ STEC) คาดว่ารัฐบาลจะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยให้ GDP ปี 2565 เติบโตประมาณ 4%
2.Pent-up demand ของการเดินทาง (SPRC และ AWC) การเดินทางระหว่างประเทศในปี 2565 อาจเพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าจากระดับปกติ เนื่องจาก "pent-up demand" ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นค่าการกลั่น (GRM) ของ SPRC และอัตราการเช่าพื้นที่ของ AWC
3.หุ้นกลุ่ม Anti Commodities plays (PTG GFPT EPG และ BGRIM) หุ้นกลุ่ม Anti Commodities Plays จะดีดตัวขึ้น หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง จากการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านอุปทานในปี 2565 น่าจะเสนอโอกาสในการ Trading หุ้นกลุ่มนี้
4.อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (BLA และ SCB) นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเดิบโตของสินเชื่อธนาคารและส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของบริษัทประกันภัย
5.ผู้ได้ประโยชน์หลักจากกระแสความนิยมของรถยนต์ (KCE) ยอดขายรถยนต์ ICE และ EV ที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันการเติบโตของยอดขาย PCB
6.การใช้ data usage 5G ที่เพิ่มขึ้น (ADVANC) การเร่งย้ายข้อมูลจากคลื่น 4G ไปยัง 5G IT และ Metaverse จะเพิ่มความต้องการใช้ข้อมูล