โจเซฟ สติกลิตซ์ (JOSEPH E. STIGLITZ) วิพากษ์ทางรอด'ยูโรโซน' : "โจเซฟ สติกลิตซ์" ไม่เพียงเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ยังเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกก่อนที่จะได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 2001
ในข้อเขียนประจำที่เผยแพร่ผ่าน "โปรเจ็กต์ซินดิเคต" เมื่อปลายสิงหาคมที่ผ่านมา สติกลิตซ์ วิพากษ์โครงสร้างและนโยบายกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือ "ยูโรโซน" อย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง ด้วยการยืนยันว่า "ยูโรโซนไม่สามารถคงอยู่ได้หากไม่เปลี่ยนแปลง และถ้ายูโรโซนพังทลาย สหภาพยุโรปก็คงสภาพอยู่ไม่ได้เช่นกัน"
สติกลิตซ์ ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศยูโรโซนในเวลานี้ตกอยู่ในสภาพแย่ด้วยกันทั้งสิ้น ขณะที่ประเทศดีที่สุดอย่าง "เยอรมนี" ก็ดูดีต่อเมื่อนำเศรษฐกิจเยอรมันไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยูโรโซนด้วยกันเท่านั้น
พร้อมอธิบายสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ 4 ประการ ก่อนเสนอทางแก้ไขเพื่อปรับเปลี่ยนทุกอย่างก่อนสายเกินไปอีก 7 ประการ
เหตุผลแรกคือ ผู้นำยูโรโซนโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจ ยังไม่เข้าใจถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง ส่งผลให้มีการโยนบาปให้กับประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของวิกฤตโดยเฉพาะประเทศเหยื่ออย่างกรีซว่าเป็น "ต้นเหตุ" ของวิกฤต ทั้ง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงนั้นกลับด้านกัน ภาวะวิกฤตต่างหากที่ก่อให้เกิดหนี้และการขาดดุลงบประมาณ ไม่ใช่หนี้และการ ขาดดุลก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้น
เช่น กรณีสเปน ไอร์แลนด์ และฟินแลนด์ เคยอยู่ในสภาพงบประมาณเกินดุลและมีสัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีระดับต่ำมาก แต่ต้องเผชิญความลำบากเมื่อต้องรับมือกับภาวะหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008
ทั้งยังมีการ "โยนบาป" ให้กับระบบสวัสดิการของรัฐกับการปกป้องตลาดแรงงานมากเกินไปว่าเป็น "ตัวการ" แต่ประเทศที่อยู่ในสถานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดในเวลานี้อย่าง "สวีเดนและนอร์เวย์" กลับเป็นประเทศที่มีสวัสดิการและการคุ้มครองตลาดแรงงานแข็งแกร่งที่สุด
สติกลิตซ์ ย้ำด้วยว่า ตัวการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ก็คือ การนำเอา "เงินสกุลยูโร" มาใช้นั่นเอง
เหตุผลที่สองคือ บรรดาผู้นำยูโรโซนกำหนดนโยบายหลายอย่าง "บกพร่อง-ผิดพลาด" ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคมากขึ้น ทำให้ อุปทานโดยรวมอ่อนแอลง ศักยภาพในการเติบโตนับวันยิ่งเลวร้ายลงตามไปด้วย
เหตุผลที่ 3 บรรดาผู้ที่คัดค้านการรวมตัวเป็นยูโรโซน "ค้านผิดเป้า" เพราะไปตั้งเป้าโจมตีกฎหมายแรงงานและ รัฐสวัสดิการ ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันในปี 1999 เหมือนการนำเงินสกุลยูโรมาใช้ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนตายตัว ซึ่งนำไปสู่เหตุผลสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "เงินยูโร" ซึ่งผิดมาตั้งแต่แนวคิด และไม่ควรกำเนิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะ "แม้ ผู้กำกับนโยบายที่ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ก็ไม่มีทางทำให้แนวคิดนี้เป็นผลดีได้"
โครงสร้างเงินยูโร "ตายตัว" ทำให้ชาติสมาชิกซึ่งรับเอาเงินยูโรไปใช้ไม่สามารถใช้กลไกสำคัญอย่าง "อัตราแลกเปลี่ยน" เพื่อปรับแก้สภาวะทางเศรษฐกิจได้ ทำให้ยูโรโซนทั้งหมดมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลังในทันที
ข้อสรุปของ โจเซฟ สติกลิตซ์ ก็คือ ระบบที่ยูโรโซนใช้อยู่ "ไม่สามารถ" และ "จะไม่มีวันได้ผล" ยกเว้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง 7 ประการ เพื่อให้สภาวะที่เป็นอยู่พลิกผัน ไปในทางตรงข้าม
ข้อแรกคือยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ประเทศยูโรโซนต้องมี งบประมาณขาดดุลไม่เกิน 3% ของจีดีพี
ถัดมาคือทดแทนมาตรการเข้มงวดทาง เศรษฐกิจด้วยยุทธศาสตร์การขยายตัวทาง เศรษฐกิจ รองรับด้วยกองทุนเพื่อเสถียรภาพ ต่อด้วยการยกเลิกระบบที่เต็มไปด้วย ข้อบกพร่องซึ่งนำไปสู่ภาวะวิกฤต
ประเด็นถัดมา ยูโรโซนต้องปรับปรุงให้กระจายภาระต่าง ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น ให้ประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต้องขึ้นค่าจ้าง เพิ่มงบประมาณรายจ่าย เพื่อดึงระดับราคาให้สูงขึ้นเร็วกว่าประเทศที่อยู่ในสภาพขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นต้น
อีกประเด็นก็คือการกำหนดพันธกิจของธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ใหม่ ให้ต้องนำเอาภาวะว่างงาน, อัตราการขยายตัว และเสถียรภาพของยูโรโซนมาร่วมพิจารณาในการกำหนดนโยบายด้วย แทนที่จะอิงกับอัตราเงินเฟ้ออย่างเดียว ต่อด้วยการหามาตรการป้องกันการไหลออกของเงินทุนจากประเทศที่ภาวะเศรษฐกิจแย่ไปยังประเทศที่เศรษฐกิจดีด้วยการจัดตั้ง "คอมมอน ดีโพสิต อินชัวรันซ์"
และสุดท้ายก็คือการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศที่ล้าหลังสามารถไล่ทันประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในกลุ่มได้
สติกลิตซ์ตบท้ายไว้ว่า ทั้ง 7 อย่างเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่จำเป็นต้องมี "ความ มุ่งมั่นและเจตนารมณ์ทางการเมือง" ในการประกาศและบังคับใช้ ซึ่งเชื่อว่าบรรดาผู้นำยูโรโซนในเวลานี้ยังไม่มี !
ขอบคุณแหล่งข่าว: ประชาชาติธุรกิจ