ห้องเม่าปีกเหล็ก

BGRIM กับโอกาสทางธุรกิจรอบใหม่

โดย illumitus
เผยแพร่ :
165 views

BGRIM กับโอกาสทางธุรกิจรอบใหม่

ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท

 

.

จากกรณีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 4 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าแบบติดตั้งรวมทั้งสิ้น 1,030 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 4 โครงการ มีกำหนดเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และจะเริ่มทยอยจ่ายไฟเข้าสู่ระบบในปี 2568-2569

.

ทั้งนี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า การเข้าลงทุนดังกล่าวจะเป็น Upsideให้กับราคาเหมาะสมได้ราว 5-6 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังคงแนะนำ “ซื้อ” เบื้องต้นคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 50 บาทต่อหุ้น

.

สำหรับการผลิตและขายไฟฟ้าในเกาหลีจะมีโครงสร้างตลาดแตกต่างจากไทยเนื่องจากเป็นการขายไฟฟ้าผ่านตลาด Merchant Market (ราคาขายขึ้นอยู่กับอุปสงค์และต้นทุนการผลิตไฟฟ้า โดยรวมของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ) โดยราคาขายไฟฟ้าในตลาดดังกล่าวอยู่ที่ราว 100-200 KRW/kWh (ราว 2.70-5.40 บาท/kWh)

.

ทั้งนี้การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเกาหลีของ BGRIM มีแผนใช้เงินลงทุนราว 3.5-4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/MW (เทียบเท่า 100-140 ล้านบาท/MW) หรือราว 6 – 8 หมื่นล้านบาท โดยใช้สัดส่วน D/E ที่ราว 70:30 -80:20 (อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว 4-5%)

.

หากอิงค่าไฟฟ้าในเกาหลีที่ 100-200 KRW/kWh และ Capacity Factor ที่ระดับ 25% โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเกาหลีจะมีกำไรราว 1.5 ล้านบาท/MW/ปี ดังนั้นกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดจะทำให้กำไรของ BGRIM เพิ่มขึ้นราว 900 ล้านบาท/ปี ซึ่งอาจมี Upside เพิ่มเติม จากการขาย Carbon Credit และ REC ในเกาหลี คิดเป็นสัดส่วน ราว 31% ของประมาณการปี 2567

.

ขณะที่ในมุมปัจจัยพื้นฐานของ BGRIM ก็ยังคงมีความน่าสนใจไม่แพ้ประเด็นดังกล่าว โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กรณีที่ กกพ.กำหนดค่า Ft อัตราใหม่ (ม.ค. – เม.ย. 2566) ที่ 1.9044 บาท/kWh (+97.01) ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 5.69 บาท/kWh (จาก 4.72 บาท/kWh) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม

.

ทั้งนี้ส่งผลให้ปรับเพิ่มกำไรหลักในปี 2566-67 ขึ้นอีก 13-35% เพื่อสะท้อนถึงการขึ้นค่า Ft โดยคาดว่าราคาก๊าซเฉลี่ยในปี 2566 จะลดลงมาอยู่ที่ 470 บาท/mmbtu (จาก 500 บาท/mmbtu ในปี 2565) ก่อนที่จะลดลงไปอยู่ที่ 320 บาท/mmbtu ในปี 2567

.

ในขณะเดียวกัน คาดว่าจะมีการทยอยปรับขึ้นค่า Ft อีกในปี 2566 ก่อนที่จะทรงตัวในปี 2567 ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรหลักของ BGRIM จะโตถึง 600% ในปี 2566 (จากผลของฐานที่ต่ำ) และขณะเดียวกันจะโต 60% ในปี 2567 เนื่องจากราคาก๊าซของ SPP ลดลง, มีการขึ้นค่า Ft, มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา และ ประสิทธิภาพ SPP replacement ห้าโครงการดีขึ้น

.

นอกจากนี้ BGRIM มีแนวโน้มจะใช้กลยุทธ์เชิงรุกในปี 2566 โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา หรือรอการประกาศรับซื้อไฟฟ้า โดยเฉพาะในอย่างยิ่งตาม PDP8 (LNG-to-power) ของเวียดนาม คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนทั้งในโครงการแบบ greenfield และโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการ RE และก๊าซ

.

หากเมื่อพิจารณาโครงการ RE ขนาด 5.2GWh ในประเทศไทย บริษัทผ่านเกณฑ์ทั้งหมด มากกว่า 500MW ในโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์

.

ขณะเดียวกันคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/65 น่าจะดีดตัวขึ้นจากไตรมาส เนื่องจากต้นทุนก๊าซของ SPP ลดลง 16-18% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.9343 บาท/kWh (+0.46) ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลประกอบการอาจจะพลิกเป็นกำไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิลดลงก็ได้ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB

.

ดังนั้นยังแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ใหม่ 42.50 บาท จากเดิม 40 บาท เรามองว่าผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/65 และฟื้นตัวก้าวกระโดดในปี 2566 จะทำให้โมเมนตัมของราคาหุ้นเร่งตัวขึ้นได้ต่อในปีหน้า นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกทั้งจากราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน USD/THB และอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่ลดลงและการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของตลาดจะช่วยหนุนให้การ re-rate หุ้น BGRIM ต่อเนื่องขึ้นอีก

 

 


illumitus