ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องอนาคต 3 หุ้นเด่น

โดย ลีลาวดี
เผยแพร่ :
120 views

ส่องอนาคต 3 หุ้นเด่น

หลังได้เข้าคำนวณดัชนีหุ้นยั่งยืน DJSI

.

ประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนใน DJSI เพิ่มเป็น 26 บริษัทจากปีก่อนที่มี 24 บริษัท โดยมี 3 บริษัทเข้าใหม่ใน DJSI EM คือ CRC, SCGP,GPSC ดังนั้น Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจอนาคตของทั้ง 3 หุ้นที่เข้าใหม่ในครั้งนี้จะน่าสนใจแค่ไหน และล่าสุดนักวิเคราะห์แนวโน้มผลประกอบการอยู่ในช่วงฟื้นตัว และมี Theme การลงทุนชัดเจนทั้ง Reopening และAnti Commodity

.

สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าซื้อในหุ้นที่ได้เข้าคำนวณในดัชนี DJSI ได้แก่ CRC, SCGP และ GPSC โดย S&P Global ประกาศทบทวนดัชนี Dow Jones Sustainability Indices DJSI ประจำปี 2565 ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนใน DJSI เพิ่มเป็น 26 บริษัทจากปีก่อนที่มี 24 บริษัท (ไม่รวม Thai Beverage) บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ใน DJSI World ลดลงเหลือ 11 บริษัทจาก 12 บริษัท เพราะ PTTEP ถูกนำออกจากทั้ง DJSI World และ DJSI EM แต่ชดเชยได้จาก 3 บริษัทเข้าใหม่ใน DJSI EM คือ CRC, SCGP และGPSC

.

ทั้งนี้ปีก่อนพบว่ามีแรงเก็งกำไรนับตั้งแต่วันประกาศไปจนถึงวันปรับน้ำหนักคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 2.8% ขณะที่ภาพระยะยาวคาดว่าจะเห็นหุ้นไทยเข้าทำเนียบ DJSI มากขึ้น เพราะน้ำหนักเอียงมาทางกลุ่ม Defensive ที่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดทุนไทยในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน จึงแนะนำเก็งกำไรใน CRC, SCGP,GPSC และระมัดระวังการลงทุนในPTTEP จนถึงวันปรับน้ำหนัก 16ธ.ค.

.

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากหุ้นทั้ง 3 บริษัทที่เข้า DJSI EM รอบนี้คือ CRC, SCGP,GPSC แนวโน้มผลประกอบการอยู่ในช่วงฟื้นตัว และมี Theme การลงทุนชัดเจนทั้ง Reopening และAnti Commodity ที่เป็น Theme หลักของฝ่ายวิจัยพอดี จึงคาดว่าจะเคลื่อนไหวเด่นกว่าตลาดไม่แพ้กันแนะนำซื้อเก็งกำไรทั้ง 3 บริษัทเพื่อดักจังหวะการปรับดัชนี DJSIโดยเฉพาะ SCGP และGPSC ที่ราคาหุ้นยังฟื้นขึ้นมาไม่มากรวมถึงให้ระมัดระวัง PTTEP ที่หลุดทั้ง DJSI World และEM

.

ส่วนมุมมองระยะยาวคาดผลจากการปรับเพิ่ม ESG Score จะเป็นบวกต่อ GPSC มากที่สุดจากทั้งธุรกิจที่ทำให้โอกาสกลับมาหลุดดัชนีค่อนข้างต่ำ และการประเมินมูลค่าวิธี DCF ที่สะท้อนผลบวกจากการปรับตัวแปรด้าน ESG ได้ดีกว่าวิธี Relative Valuation Technique

.

ขณะที่บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของทั้ง 3 บริษัทที่เข้าใหม่ใน DJSI EM คือ CRC, SCGP,GPSC โดยเริ่มจาก CRC นักวิเคราะห์บล.บัวหลวง ระบุว่า CRC แนะนำ ซื้อ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 50 บาท (เดิม 46 บาท) ซึ่งเชื่อว่าความคาดหวังต่อการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของประเทศจีนและความสามารถในการเติบโตในระยะยาวของ CRC จะหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป โดยการขยายไลน์อาหารจะหนุนการประหยัดต่อหน่วย ธุรกิจค้าปลีกที่เน้นอาหารจะเป็นปัจจัยหนุนกำไร หลังช่วงการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

.

ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไร CRC ปี 2565 ขึ้นอีก 6% และ 5% สำหรับปี 2566 และ 5% สำหรับปี 2567 เพื่อสะท้อนแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกและความสามารถในการขยายอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท หลังจากกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/65 (น่าจะดีที่สุดของปี 2565)

.

ส่วนปี 2566 คาดจะเห็นรายได้เติบโต 11% และกำไรเติบโต 16% จากปีก่อนหน้า โดยการขยายตัวของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะกลบผลกระทบจากค่าแรงและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นในปีหน้า ดังนั้นจึงคาดปี 2565 จะรายงานกำไรสุทธิ 6,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,211.86% ส่วนปี 2566 คาดกำไรสุทธิเพิ่มมาที่ 8,165 ล้านบาท

.

ถัดมา SCGP โดยมุมมองนักวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากคาดว่าแรงกดดันด้านต้นทุนจะทยอยลดลง

ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ Fiber และ Polymer packaging ยังคงอยู่ในระดับสูง และเข้า high season ทำให้คาดว่าปริมาณขาย และ margin มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 65 บาท ส่วนภาพรวมกำไรทั้งปี 2565 คาดว่าอยู่ที่ 7,563 ล้านบาท ลดลง 8.81%จากปีก่อน

.

สุดท้าย GPSC มุมมองของนักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 4/65 จะเริ่มเข้าสู่รอบการฟื้นตัว และขึ้นทำจุดสูงสุดของปี หนุนจากการรับรู้ค่า Ft งวดเดือนก.ย. - ธ.ค. 2566 เต็มไตรมาส, ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงจากไตรมาสก่อน, ส่วนแบ่งกำไรจาก Avaada เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และกำลังผลิตใหม่ รวมทั้งเงินเคลมประกันภัย 20-30 ล้านเหรียญฯ

.

มองข้ามไปปี 2566 จะเห็นการเติบโตแบบ Turnaround ราว 1 เท่าตัว (ฐานต่ำหลังกำไรหดตัว 2 ปี) หนุนจากการฟื้นตัวของ Margin ธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ตามค่า Ft, ต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำลง, กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จาก Avaada และ Glow Energy Phase 2

.

นอกจากนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า GPSC ยังมีการเติบโตจากกำลังผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าระหว่างก่อสร้าง เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมไต้หวัน, โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์อินเดีย, โครงการ ERU,โครงการ Glow SPP 2 ช่วยเพิ่มกำลังผลิตจากปัจจุบัน 6.4 GW เป็น 7.3 GW ในปี 2568

.

ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมใหม่ 82 บาท สะท้อนข้อมูลสถิติบ่งชี้ว่าหุ้นโรงไฟฟ้าจะ Outperform - ได้ Premium ช่วงตลาดกังวลเศรษฐกิจ และ Bond Yield ลดลง อย่างไรก็ตามคาดปี 2565 รายงานกำไรที่ 2,971 ล้านบาท ลดลง 59.41% จากปีก่อน

 

 


ลีลาวดี