รู้จัก “วัน ออริจิ้น” หรือ ONEO
บริษัทในกลุ่ม ORI กำลังเข้าตลาดหุ้น
.
บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO มีแผนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เร็วๆนี้ โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 702,800,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ ONEO ภายหลังเสนอขาย IPO ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
.
ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ONEO ถือเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI แต่ ONEO จะมีความน่าสนใจแค่ไหน คอลัมน์ Next IPO ประจำวันอังคาร Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาหาคำตอบไปด้วยกัน
.
หากย้อนกลับไปในอดีตบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อว่า บริษัท แฮมป์ตัน อินทีเรีย จำกัด และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด) ก่อตั้งขึ้นโดยครอบครัวจรูญเอก โดยนางอารดา จรูญเอก ถือหุ้นในสัดส่วน 90% และผู้ถือหุ้นอื่นถือหุ้นในสัดส่วน 10%
.
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ORI ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท จากนางอารดา จรูญเอก และผู้ถือหุ้นอื่นจำนวน 2 คน คิดเป็น 99.99% ของทุนจดทะเบียน ทำให้มีฐานะเป็นบริษัทย่อยของ ORI
.
โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ORI มีสัดส่วนการถือหุ้นคิดเป็น 99.99% ซึ่งถือเป็นบริษัทแกนนำหลัก (Flagship Company) ของกลุ่ม ORI ในการประกอบธุรกิจพัฒนาและดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย
.
ONEO เป็นผู้พัฒนาและดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าชั้นนำในประเทศไทยที่สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง (Recurring Income Business) และเป็นบริษัทเรือธงในธุรกิจดังกล่าวของกลุ่มบริษัท ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
.
โดยครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจหลักได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งรวมถึงโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) 2. กลุ่มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน (Retail and Office Building) (รวมเรียกว่า “กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์”) 3.กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และ 4. ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มธุรกิจของบริษัทและการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) (หรือ โปรแกรมแฮมป์ตัน)
.
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 มีโครงการที่พัฒนาเสร็จหรือเริ่มดำเนินการแล้ว คือ 1.โครงการประเภทโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) จำนวน 7 โครงการ โดยมีห้องพักรวม 1,579 ห้อง 2.โครงการพื้นที่ค้าปลีก (คอมมูนิตี้มอลล์) จำนวน 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 2,053 ตารางเมตร
.
3.ร้านอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 5 ร้าน และ 4. ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มธุรกิจของบริษัท จำนวน 12 บริษัท และการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) (หรือ โปรแกรมแฮมป์ตัน) จำนวน 7 โครงการ
.
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือยังไม่ได้เปิดดำเนินการ ได้แก่ 1. โครงการประเภทโรงแรม และเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) จำนวน 12 โครงการ มีห้องพักรวมประมาณ 4,343 ห้อง 2.โครงการพื้นที่ค้าปลีก (คอมมูนิตี้มอลล์) จำนวน 4 โครงการ มีพื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 16,720 ตารางเมตร และอาคารสำนักงาน จำนวน 2 โครงการ มีพื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 59,869 ตารางเมตร
.
3.ร้านอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 4 ร้าน และ 4. ธุรกิจอื่นๆ อันได้แก่ การบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) (หรือ โปรแกรมแฮมป์ตัน) จำนวน 6 โครงการ
.
ONEO มีวิสัยทัศน์ (Vision) เป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการ ด้วยความมุ่งมั่นและสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการสร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อผู้ลงทุน ควบคู่กับการดูแลพนักงาน พันธมิตร และรับผิดชอบต่อสังคม
.
ทั้งนี้มีเป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2568 จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และขยายโครงการไปยังแหล่งท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา กระบี่ หัวหิน และขยายไปยังแหล่งธุรกิจและอุตสาหกรรม อาทิ ศรีราชา ระยอง ขอนแก่น เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) สำหรับกลุ่มธุรกิจพื้นค้าปลีกและอาคารสำนักงาน
.
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ให้ครอบคลุมทุกระดับ Segment โดยรูปแบบการบริหารจัดการร่วมกับแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น แบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental) แบรนด์โฮเต็ล อินดิโก้ (Hotel Indigo) แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ (Holiday Inn & Suites) และแบรนด์ไอบิส (IBIS) เป็นต้น
.
นอกจากนี้ มีแผนที่จะขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ให้ครอบคลุมทุกระดับ Segment ส่วนกลุ่มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน มีเป้าหมายที่จะขยายโครงการไปยังทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงตามแนวรถไฟฟ้าเส้นหลัก หรือถนนเส้นหลักที่มีศักยภาพในการขยายตัวของเมืองสูง ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
.
บริษัทคาดว่าภายในปี 2566 อสังหาริมทรัพย์ที่เปิดดำเนินการ จะประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีห้องพักรวม 2,306 ห้อง และอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ พื้นที่เช่าสุทธิรวม (NLA) 10,785 ตารางเมตร
.
ขณะที่เป้าหมายระยะยาว สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ มีเป้าหมายที่จะขยายโครงการให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มุ่งเน้นที่จะพัฒนารูปแบบโครงการให้มีความทันสมัยเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ รูปแบบโครงการสำนักงานที่รองรับรูปแบบการทำงานในยุคปัจจุบัน ที่มีการผสานการทำงานและการพักผ่อนเข้ามาอยู่ด้วยกัน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญในโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค และมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
.
ด้านกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีแผนที่จะสร้างแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นที่จดจำและสร้างการรับรู้ของแบรนด์ไปยังกลุ่มผู้บริโภค เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาด และขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต
.
สำหรับผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 รายได้รวมเท่ากับ 82.7 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2564 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 688.3 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 966.3 ล้านบาท ล่าสุดงวดไตรมาส 1/2566 มีรายได้รวมเท่ากับ 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 362.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ขณะที่กำไรสุทธิก็เช่นกัน ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 62.2 ล้านบาท แต่ปี 2564 พลิกมีกำไรสุทธิ 304 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2565 เพิ่มมาอยู่ที่ 312.4 ล้านบาท ล่าสุด ไตรมาส 1/66 พลิกมีกำไรสุทธิ 38.6 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ และกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น ตามจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการ และการขยายตัวของบริษัท รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น
.
ส่วนแผนการเข้าตลาดหุ้นในครั้งนี้ ONEO มีวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือการขยายธุรกิจ และเพื่อชำระเงินกู้ยืม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของ ONEO
