เหตุผลและอารมณ์ที่ทำให้หุ้นขึ้น หุ้นลง
ต้องยอมรับครับว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังคงไปไหนไม่ได้ไกล หลังดัชนี 1,800 จุดกลับมาเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามด้วยสภาวะของตลาดในขณะนี้ที่ยังมีความผันผวนอยู่แต่ก็ยังไม่ได้มีแนวโน้มที่ดูแย่อะไร ยังเชื่อว่าตลาดโดยรวมของเรายังดีพร้อมที่จะขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้อยู่แล้ว จากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีการเติบโต ได้ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ช่วงนี้ตลาดกำลังปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลที่ควรจะเป็นตามปัจจัยพื้นฐาน
ด้วยภาวะของตลาดที่เราเห็นกันอยู่นั้น มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีผลทางด้านจิตวิทยาต่อการลงทุน เนื่องจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอกทำให้ตลาดดูไม่สดใสเท่าไหร่นัก นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าซื้อหุ้นกันซักเท่าไหร่ แต่หากเมื่อภาวะตลาดที่กลับดูดีเป็นขาขึ้นดัชนีมีการปรับตัวขึ้นไปมากๆ นักลงทุนก็จะพากันซื้อหุ้นมากขึ้น ด้วยเชื่อมั่นว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไปอีกและจะสามารถทำกำไรได้มากๆ อีกทั้งยังถูกหนุนด้วยบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคักอีกด้วย
แต่ในความเป็นจริง โดยหลักการค้าขายโดยทั่วไปเราย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ที่จะทำกำไรได้มากๆนั้น สินค้าที่ซื้อมาจะต้องซื้อมาในราคาที่ถูกและขายไปในราคาที่แพง ดังนั้นการที่เราเข้าซื้อหุ้นในระดับราคาที่แพงในช่วงตลาดเป็นขาขึ้นดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แม้เราจะบอกว่าเราซื้อมาแพงก็สามารถขายได้ในราคาที่แพงกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำกำไรให้เราได้มากมายซักเท่าไหร่ เพราะด้วยเราก็รู้อยู่ว่าหุ้นที่เราซื้อมานั้นมีราคาแพงแต่ด้วยภาวะตลาดที่เอื้อทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้อีก แต่เราก็ต้องรีบขายด้วยความกังวลว่าราคาอาจจะปรับลดลงเพราะราคาแพงไปแล้วนั่นเองและมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
หากแต่เราซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง เราก็สามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูก พื้นฐานดี มีอนาคตเติบโตในราคาที่เราต่อรองได้ ซึ่งจะทำให้เรามีโอกาสทำกำไรได้มากๆ เนื่องจากเราซื้อมาในราคาที่ไม่แพง โดยมีความเชื่อมั่นว่าหุ้นที่เราซื้อมานั้นมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าจะปรับตัวลง เมื่อเป็นเช่นนี้เราเพียงอดทนถือรอคอยไปจนว่าถึงจุดขายที่เราประเมินเอาไว้ ก็จะทำให้เรามีกำไรอย่างงดงามได้
อย่างไรก็ดีราคาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวขึ้นลง มักมีทั้งเหตุผลและอารมณ์ผสมปนเปกันไป หากหุ้นขึ้นในภาวะปกติก็จะเป็นเรื่องของภาพรวมของประเทศ หรือว่าธุรกิจนั้นๆเติบโตขึ้น เพราะทุกคนมองภาพบวกสวยงาม ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมที่จะจ่ายราคาแพงขึ้น เพราะมองว่าอนาคตสดใส แพงก็ซื้อ ขึ้นก็ซื้อ ลงก็ซื้อ ทุกอย่างดูดีไปหมด แพงแล้วก็มีแพงอีก จะยอมซื้อแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เวลาหุ้นลง คนจะมองในแง่ลบ และยิ่งมองแย่กว่าที่เป็นอีกเสียด้วย พอทุกคนมองแง่ลบไม่ดีกันหมด ก็จะเกิดการแย่งกันขาย ใครขายถูกกว่าก็ได้ขายก่อน และเมื่อทุกคนอยากขายกันหมดก็จะตั้งราคาขายถูกๆเอาไว้ ดังนั้นเมื่อคนส่วนมากคิดแบบนี้ ราคาหุ้นก็จะยิ่งตกมากกว่าปกติ และเมื่อยิ่งราคาตกมากๆจนไม่สนใจว่าจะขาดทุนแค่ไหนก็จะเริ่มจิตตกยอมขายขาดทุนเป็นจำนวนมากนั่นเอง
เพราะฉะนั้น หุ้นขึ้น ก็ขึ้นเพราะคนส่วนมากคิดบวกกับตลาด บวกกับหุ้น และยอมซื้อราคาแพง คนขายก็ขายแพงได้ราคาก็ขึ้น หุ้นลงก็กลับกัน คนส่วนมากคิดลบกับตลาดกับหุ้น ก็อยากรีบขาย ราคาไหนก็ขาย คนซื้อก็ต่อราคาได้สบายหุ้นก็ลง แต่ไม่ว่าจะขึ้นจะลง มันก็เป็นวัฎจักรแบบนี้มาตลอด ดังนั้นเราต้องมีสติและเหตุผล วิเคราะห์พิจารณาให้ดีว่าหุ้นขึ้นหุ้นลงเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น เกิดอะไรขึ้นกับภาพรวมของประเทศ และในระยะยาวจะเป็นอย่างไร หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากเราพิจารณาตรงนี้ได้ ก็จะทำให้เราลดความเสียหายจากการลงทุนได้จากผลกระทบในเชิงลบ และจะเป็นโอกาสในการลงทุนหากปัจจัยเชิงลบที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบระยะยาวหรือทำให้พื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปย่อมทำให้เราสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
ในตลาดหุ้นนั้นสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนของเราอย่างมาก ดังนั้นเราจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงตรงนี้ โดยการเข้าใจถึงภาวะของตลาดไม่ให้มาหลอกเราให้ซื้อ หรือ ขายหุ้นผิดไปจากหลักการและเหตุผลที่เราประเมินได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของภาวะตลาดที่เป็นไป ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้ในการลงทุน บทสรุปของเรื่องนี้คือต้อง ซื้อในราคาถูก ขายแพง โดยให้ซื้อเวลาคนอยากขายมากๆและขายในเวลาคนอยากซื้อมากๆ แต่ต้องอยู่บนเหตุผลที่เราประเมินรู้ได้อย่างแท้จริงเท่านั้น