ปตท.ฝ่าปัจจัยเสี่ยงน้ำมัน-โควิด ลุยลงทุนทุกกลุ่มธุรกิจ
ธุรกิจน้ำมันได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงจากความขัดแย้งของผู้ผลิตน้ำมัน รวมถึงโรคโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและความต้องใช้น้ำมันบางประเภทลดลง ทำให้ทุกธุรกิจต้องวางแผนรับมือความเสี่ยงนี้
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำอีกระยะ เพราะซาอุดีอาระเบียเอาจริงในการประกาศเพิ่มกำลังการผลิตเป็นวันละ 13 ล้านบาร์เรล เท่ากับสหรัฐ ซึ่งทำให้สถานการณ์ราคาน้ำมันวนขณะนี้อยู่ในช่วงขาลงแน่นอน
ทั้งนี้ วิธีการเดียวที่จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น คือ องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และรัสเซียจะต้องหารือกัน ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าจะมีการหารือกันได้ในเร็ววัน แต่คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน จึงจะหารือกันได้ข้อยุติ โดยเวทีประชุมโอเปคจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ แต่คาดว่ารัสเซียที่ไม่ได้เป็นสมาชิกโอเปกอาจจะมีการหารือกลุ่มย่อยกับโอเปคก่อน เพราะรายได้หายไปส่วนหนึ่ง
ดังนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่บาร์เรลละ 30-40 ดอลลาร์ ซึ่งการที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับตำ่ถือว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภค และการผลิตน้ำมันจากเชลออยล์อาจจะหยุดลงในช่วงที่ราคาน้ำมันถูกเพราะต้นทุนการผลิตสูง และถ้าโอเปคและรัสเซียหารือได้ข้อสรุปอาจทำให้ราคาน้ำัมนขึ้นไปอยู่ที่บาร์เรลละ 50-60 ดอลลาร์ แต่คงไม่มีโอกาสขึ้่นไปถึงระดับบาร์เรลละ 70-80 ดอลลาร์
“ราคาน้ำมันมีโอกาสหลุดต่ำกว่าบาร์เรลละ 30 ดอลลาร์ แต่เชื่อว่าไม่นาน ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงครั้งที่แล้วลดต่ำลงไปที่บาร์เรลละ 28 ดอลลาร์”
กรณีที่ราคาน้ำมันลงมาอยู่ที่บาร์เรลละ 30 ดอลลาร์ จะทำให้แห่งผลิตน้ำมันที่มีต้นทุนสูงจะต้องหยุดการผลิต โดยเฉพาะแหล่งผลิตในสหรัฐที่มีต้นทุนสูงกว่าแหล่งผลิตในซาอุดิอารเบียมาก ซึ่งสถานการณ์ราคาเช่นนี้ซาอุดิอารเบียไม่ขาดทุนจากการผลิต เพียงแต่จะได้กำไรที่ลดลงและอาจมีผลกระทบต่องบประมาณรัฐบาลซาอุดิอารเบีย เพราะมีเศรษฐกิจที่พึ่งพิงรายได้จากการขายน้ำมันสูง จึงทำให้ซาอุดิอารเบียได้รับผลกระทบเรื่องงบประมาณ
สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันของไทยในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลง โดยเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวลงเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าสู่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา การใช้น้ำมันเริ่มปรับตัวลงชัดเจน และในเดือน มี.ค.นี้ การใช้น้ำมันจะลดลงอีก โดยเฉพาะน้ำมันเครื่องบินที่ความต้องการใช้ลดลง 30% สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมีการปรับประมาณการณ์ผลดำเนินงานใหม่ ซึ่งจะมีการปรับเมื่อครบ 1 ไตรมาส
สถานการณ์ปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่มากระทบ โดยเฉพาะการระบาดของโรคโควิด-19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน จะไม่กระทบกับแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ เพราะเป็นการลงทุนเพื่อระยะยาว โดยกลุ่ม ปตท.เดินหน้าโครงการที่วางแผนไว้ เช่น โครงการพลังงานสะอาดของไทยออยล์ การลงทุนปรับปรุงโรงงานของธุรกิจปิโตรเคมี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการลงทุนขยายปั๊ม
"ปตท.จะเร่งลงทุนตามแผนถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยเข้ามา เพื่อให้การลงทุนนี้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2563"
การบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ราคาน้ำมันเช่นนี้ มองได้ 3 ประเด็น คือ 1.ภาวะขาดแคลนน้ำมันไม่มีแน่นอน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการกักตุนน้ำมัน รวมทั้งสถานการณ์ราคาเช่นนี้นับว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภค 2.กลุ่มธุรกิจดาวน์ สตรีม สามารถใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อลดการใช้พลังงาน
3.การบริหารสต๊อกน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากแต่จะต้องไม่ให้เกิดภาวะขาดเคลน ซึ่งการที่ราคาน้ำมันลดลงในช่วงนี้มีผลต่อการขาดทุนสต๊อกแน่นอน โดยราคายิ่งลดลงเร็วยิ่งทำให้ขาดทุนสต๊อกมาก โดยถ้าราคาน้ำมันดิบอยู่ที่บาร์เรลละ 30 ดอลลาร์ จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่บาร์เรลละ 40 ดอลลาร์
ส่วนค่าการตลาดที่มีความเหมาะสมควรจะอยู่ที่ 1.70 บาท ซึ่งในขณะนี้ถือว่าเหมาะสม เพราะการดำเนินงานจะมีมาตรฐานมาควบคุมการผลิตเพิ่มขึ้นและต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เช่น มาตรฐานความปลอดภัย
ในขณะที่แผนการขยายปั๊มน้ำมันจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ และยืนยันว่าสถานการณ์ยังจะมีการขยายปั๊มน้ำมันแน่นอนและจะไม่มีการปิดปั๊มน้ำมัน รวมทั้งยังคงเดินหน้าการให้ปั๊มน้ำมันมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการไทยเด็ด ซึ่งเป็นการนำสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนมาจำหน่ายในปั๊มน้ำมัน และขณะนี้มีปั๊มที่เข้าร่วมดำเนินการ 177 แห่ง โดยมีแผนที่จะขยายให้ครบ 1,000 แห่ง ภายในปี 2563
รวมทั้งขณะนี้มีวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมคัดเลือกสินค้ามาจำหน่ายในปั๊มน้ำมันมากกว่า 100 กลุ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้วิสาหกิจชุมชนได้มาก รวมทั้ง ปตท.ได้เข้าไปช่วยในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และสินค้า เช่น กระเทียมลำพูน
สำหรับความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคการขนส่งที่มีแนวโน้มลดลงยืนยันว่าจะยังคงมีการจำหน่ายเพราะปัจจุบันยังมีความต้องการใช้อยู่ แต่ถ้าพื้นที่ใดที่มีความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีเพื่อการขนส่งลดจำนวนลงก็จะพิจารณาปิดปั๊มแอลพีจี เพื่อปรับเปลี่ยนเป็นปั๊มน้ำมันแทน
นอกจากนี้ ปตท.จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะแจกเจลล้างมือ 1 ล้านหลอดที่ปั๊มน้ำมันตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.นี้ แจกทุกวันจันทร์สำหรับผู้มาใช้บริการทุกรายและไม่จำกัดปริมาณการเติมน้ำมัน ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.ได้มอบแอลกอฮอล์ให้กับองค์การเภสัช (อภ.) เพื่อใช้ประโยชน์ทางการสาธารณสุขไปแล้ว 15,000 ลิตร โดยแอลกอฮอล์ที่นำมาใช้ดังกล่าวมาจากโรงงานเอทานอลที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเพื่อประโยชน์อื่นได้ จากที่ผ่านมาผลิตเพื่อเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างเดียว
ขอบคุณทีมาเนื้อหาข้อมูลจาก