ห้องเม่าปีกเหล็ก

รู้จัก CPFGS เจ้าของไส้กรอก “ซีพี” บริษัทในกลุ่ม CPF กำลังจะเข้าตลาดหุ้น

โดย บอนไซ
เผยแพร่ :
152 views

รู้จัก CPFGS เจ้าของไส้กรอก “ซีพี”

บริษัทในกลุ่ม CPF กำลังจะเข้าตลาดหุ้น

.

คอลัมน์ Next IPO ประจำวันอังคารในครั้งนี้ Wealthy Thai จะพามาทำความรู้จักกับหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจ อย่างบริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS บริษัทย่อยของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และภายหลังการ IPO นั้น CPFGS ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ CPF พร้อมได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

.

โดย CPFGS เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหาร รวมถึงกิจการร้านอาหารและธุรกิจขนมสัตว์เลี้ยง ภายใต้กลุ่ม CPF ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประชากรโลกมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นผ่านอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพเชิงรุก”

.

สำหรับ CPFGS จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปของ CPF ภายในประเทศไทยและจำหน่ายไปยังต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว (exclusive distributor and exporter) สำหรับผลิตภัณฑ์จากฐานการผลิตของ CPF ในประเทศไทย

.

นอกจากนี้ CPFGS มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ CPFGS จัดหาจากบุคคลภายนอก โดยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านอาหารแก่ ผู้บริโภคทั่วไป รวมถึงลูกค้าเชิงพาณิชย์ (commercial customer) เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HoReCa) ผ่านช่องทางที่หลากหลายทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

.

รวมทั้ง CPFGS ยังมีธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยภายใต้กิจการห้าดาวและกิจการร้านอาหารเชสเตอร์ พร้อมด้วยธุรกิจขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ CPFGS จัดจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค เช่น CP, Butcher, BKP, Super Chef, Meat Zero และ Jerhigh เป็นต้น และ CPFGS อยู่ในตลาดที่มีโอกาสการเติบโตสูง

.

สำหรับธุรกิจหลักของ CPFGS ประกอบด้วย

 1.การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในประเทศไทยและในต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์โดยหลัก ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อเป็ด ไข่ไก่ เนื้อกุ้ง และเนื้อปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป รวมถึง ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ ไส้กรอก ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน

.

2. ธุรกิจร้านอาหาร คือ กิจการห้าดาว (Five Star) ร้านเชสเตอร์ (Chester’s) ศูนย์อาหารฟู้ดเวิลด์ การให้บริการจัดเลี้ยง และร้านอาหารอื่นๆ ซึ่งมีจำนวน 5,101 แห่งทั่วประเทศไทย 3.ผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง คือ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มมูลค่า (value-added pet snack products) ภายใต้ตราสินค้า Jerhigh และ Jinny

.

ขณะที่บริษัทฯ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยและต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าแบบดั้งเดิม และช่องทางธุรกิจบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม (food service) ซึ่งบริษัทฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าดังกล่าว รวมถึง เซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) แม็คโคร (Makro) และโลตัส (Lotus’s) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท CPF

.

รวมถึงร้านค้าปลีกสมัยใหม่ชั้นนำระดับโลกอื่น ๆ ที่มิใช่บริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท CPF ในประเทศไทย เช่น บิ๊กซี (Big C) ท็อปส์ (Tops) เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ (Central Food Halls) และร้านค้าปลีกในเครือเดอะมอลล์ (The Mall)

.

นอกจากการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัท CPF และบริษัทคู่ค้าภายนอกแล้ว บริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บางชนิดในประเทศไทยที่บริษัทฯ จัดจำหน่าย ผ่านบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้แก่ CPFRF และ IPF

.

บริษัทฯ นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้าเชิงพาณิชย์ (commercial customer) ที่หลากหลายซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HoReCa) (“ฟู้ดเซอร์วิส”) และผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตอาหาร ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

.

โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีลูกค้าเชิงพาณิชย์ (commercial customer) จำนวนกว่า 34,000 ราย ประกอบด้วย ลูกค้าเชิงพาณิชย์ (commercial customer) จำนวนกว่า 32,000 รายในประเทศไทย และกว่า 2,000 รายในต่างประเทศ โดยบริษัทฯ มีความสัมพันธ์และความร่วมมือทางธุรกิจที่แนบแน่นกับลูกค้าเหล่านี้ โดยลูกค้า 10 อันดับแรกของบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ มานานกว่า 20 ปี

.

ทั้งนี้บริษัทฯ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสำหรับปี 2565 รายได้จากการขายสินค้าของบริษัทฯ ในประเทศไทย คิดเป็น 62.3% และรายได้จากการขายสินค้าของบริษัทฯ ในต่างประเทศ คิดเป็น 37.7% ของรายได้รวมจากการขายสินค้า

.

โครงสร้างรายได้ในแต่ละกลุ่ม

ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ 57.8%

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป 33.8%

ผลิตภัณฑ์ธุรกิจร้านอาหาร 3.9%

ผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง 1.2%

ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 3.3%

.

ส่วนเครือข่ายการจัดจำหน่ายและส่งออกของบริษัทฯ ครอบคลุม 53 ประเทศในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกา บริษัทฯ มีบริษัทย่อยและสาขาสำนักงานดำเนินงานอยู่ใน 15 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เยอรมนี โปแลนด์ จีน (รวมฮ่องกงเขตปกครองพิเศษจีน) สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เบลเยียม เดนมาร์ก สาธารณรัฐเกาหลี ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

.

โดยบริษัทฯ เชื่อว่า การดำเนินงานในต่างประเทศอย่างกว้างขวางของบริษัทฯ ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวในการวางแผนการจัดจำหน่ายอาหาร และทำให้บริษัทฯ สามารถลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพทางด้านการตลาดและนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงยังได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบสนองต่อปริมาณของอุปสงค์และอุปทานที่ไม่สอดคล้องกันในภูมิภาคต่าง ๆ ที่บริษัทฯ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

ขณะที่ในประเทศไทย บริษัทฯ มีการจัดจำหน่ายและขายผลิตภัณฑ์หลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และให้บริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม (food service) แก่ลูกค้า B2B2C ลูกค้า B2C และลูกค้า B2B โดยส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จำหน่ายในประเทศไทยภายใต้ตราสินค้าต่าง ๆ เช่น “ซีพี (CP)” “บุชเชอร์ (Bucher)” “บีเคพี (BKP)” “ซูเปอร์เชฟ (Superchef)” “มีทซีโร่ (Meat Zero)” “เอเอ (AA)” “ซีพี เวจ อิท อัพ (CP Veg It Up)” “มิสเตอร์แฟรงค์ (Mr. Frank)” “อินโน วี-เนส (iNNO Weness)” และ “เจอร์ไฮ (Jerhigh)” เป็นต้น

.

สำหรับตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ เน้นการจัดจำหน่ายอาหารแปรรูป ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน โดยจัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าต่าง ๆ เช่น “ซีพี (CP)” “คิทเช่น จอย (Kitchen Joy)” “ซีพี ออเธ็นติค เอเชีย (CP Authentic Asia)” “เคป เมอร์แชนท์ (Cape Merchant)” “กัปตันส์ แพ็ค (CAPTN’S PACK)” “กัปตันส์ ไพรด์ (CAPTN’S PRIDE)” และ “คาริสมา (CARISMA)” เป็นต้น

.

นอกจากการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ สิทธิของบริษัทในการใช้ชื่อ CP กับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จัดจำหน่าย ยังช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัทฯ ในด้านความน่าเชื่อถือและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จำหน่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

.

ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 170,830 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% จากปี 2564 อยู่ที่ 137,754 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยปี 2565 มีกำไร 6,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.3% จากปี 2564 อยู่ที่ 2,646 ล้านบาท

.

กลยุทธ์ในการดำเนินงาน

(1) การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์และตราสินค้าของบริษัทฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและความชื่นชอบของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง

(2) การเสริมสร้างขีดความสามารถการจัดจำหน่ายและขยายฐานลูกค้า รวมถึงเพิ่มการเข้าถึงในลูกค้าหลัก

(3) การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและบริหารต้นทุนผ่านแผนการริเริ่มที่หลากหลาย

(4) การขยายเครือข่ายร้านอาหารทั้งร้านอาหารของบริษัทฯ และร้านอาหารแฟรนไชส์ในทำเลที่มีโอกาสใหม่ ๆ ที่สำคัญ

(5) การเพิ่มการประสานศักยภาพ (synergy) กับกลุ่มบริษัท CPF และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกเพื่อความหลากหลายของธุรกิจ

(6) การเป็นบรรษัทที่ดีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

.

จุดเด่นด้านการแข่งขัน

1.การเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความน่าสนใจและมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านอาหารแบบครบวงจร (food solutions) ชั้นนำระดับโลก ดำเนินธุรกิจใน 15 ประเทศ CPF เป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทยในผลิตภัณฑ์สัตว์บกและสัตว์น้ำในตลาดส่งออกหลักทั้งหมดแต่ละแห่งของบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายของ CPF ภายในประเทศไทยและจำหน่ายไปยังต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว

.

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ GlobalData ร้านห้าดาว (Five Star) ของบริษัทฯ เป็นร้านอาหารจานด่วนสัญชาติไทย (domestic QSR) อันดับหนึ่งของประเทศไทย มีสาขาร้านแฟรนไชส์จำนวน 4,620 แห่ง และมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.8 ในปี 2565 ซึ่งมากกว่าส่วนแบ่งตลาดของเชนร้านอาหารระหว่างประเทศบางแห่งที่ประกอบการในประเทศไทย ในขณะที่ร้านเชสเตอร์ (Chester’s) เป็นร้านอาหารจานด่วนสัญชาติไทย (domestic QSR) อันดับสองของประเทศไทย

.

โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เชสเตอร์ (Chester’s) มีสาขาร้านที่บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินกิจการเองจำนวน 111 แห่ง และร้านแฟรนไชส์จำนวน 84 แห่ง

.

ทั้งนี้การมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยการเข้าถึงแหล่งจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มั่นคงด้วยการได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (exclusive distributor) ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ประกอบกับการมีความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้าที่เป็นบุคคลภายนอก

.

2.การมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในประเภทผลิตภัณฑ์โปรตีนชนิดต่าง ๆ เป็นการให้ความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่โดดเด่น บริษัทฯ มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยจำแนกออกเป็นสินค้า 9 ประเภท ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรตีนชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไก่ หมู สัตว์น้ำ เป็ด ไข่ไก่ และเนื้อวัว ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากพืช การมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทำให้บริษัทฯ อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ซึ่งคู่แข่งหลายรายนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ในจำนวนค่อนข้างจำกัดกว่าของบริษัทฯ

.

3.บริษัทฯ มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายกว้างขวางในช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในการนำเสนอสินค้าภายใต้ตราสินค้าที่แข็งแกร่งและเป็นที่ไว้วางใจ สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ผ่านช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุม ทำให้บริษัทฯ มีความแตกต่างจากคู่แข่ง

.

4.การมีความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์และความสัมพันธ์อย่างยาวนานกับกลุ่มลูกค้าพร้อมทั้งมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ อย่างลึกซึ้ง บริษัทฯ เชื่อว่าภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่ลูกค้าของบริษัทฯ ดำเนินการอยู่ช่วยเสริมสร้างให้บริษัทฯ มีโอกาสเติบโตจากภายใน (organic growth) ในระยะยาว

.

5.ประวัติในการเข้าซื้อกิจการและความสำเร็จในการรวมธุรกิจ บริษัทฯ ดำเนินการควบรวมและเข้าซื้อกิจการโดยใช้หลักการที่เข้มงวด และบริษัทฯ ยังมีประสบการณ์สูงในการสรรหา ดำเนินการ และรวมกิจการที่เข้าซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ

.

6.การเป็นหุ้นส่วนทางการค้ากับกลุ่มบริษัท CPF ซึ่งมีเครือข่ายกว้างขวาง และระบบนิเวศทางธุรกิจที่หลากหลาย และ7.ทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถในการดำเนินงาน

.

สำหรับบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 500,010,000 หุ้น (คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกนี้) ซึ่งประกอบด้วย 1. หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ ไม่เกิน 66,700,000 หุ้น 2. หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย CPF ไม่เกิน 316,655,000 หุ้น และ 3. หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย CPM ไม่เกิน 116,655,000 หุ้น

 

 

.

หมายเหตุ อ้างอิงจาก แบบไฟลิ่งบริษัท

 


บอนไซ