ผ่าอนาคตหุ้น TRUE กับ DTAC เมื่อผลการควบรวมกัน จะเป็นปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อราคาหุ้น!
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นของดีลการควบรวมระหว่าง TRUE กับ DTAC ยังคงเป็นเรื่องให้ดราม่ากันตลอด โดยก่อนหน้านี้มีความจำเป็นที่จะต้องขยายการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ออกไปจากกำหนดการเดิมที่ กสทช.จะมีความเห็นในวันที่ 10 ก.ค.2565
และล่าสุดมีประเด็นที่หลุดออกมาในรายงานข่าวว่า 3 ใน 4 คณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการ กสทช. โหวตไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE-DTAC โดยประเด็นดังกล่าวสร้างความสับสนไม่น้อยให้กับนักลงทุน เพราะเหมือนจะเป็นแนวทางในการโยนหินถามทางแล้วว่าดีลนี้อาจจะควบรวมกันไม่สำเร็จ
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น DTAC และ TRUE ร่วงลง 5.29% และ 6.2% ในการซื้อขายในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ก.ค. 65 ขณะเดียวกันนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกมาชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และการควบกิจการยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กสทช.
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงมุมมองเดิมว่ามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าการควบรวมกิจการจะเกิดขึ้น ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ได้แก่ 1) กสทช. น่าจะมีอำนาจเต็มที่ในการอนุมัติหรือไม่อนุมัติข้อตกลง 2) กสทช. เลื่อนวันตัดสินจาก 10 ก.ค. เป็น 10 ส.ค. 65
3) ศาลปกครองกลางน่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนก่อนยกคำร้องขอมีคำสั่งห้าม และ 4) การทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนหุ้นจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ คาดว่ามูลค่าของการผนึกกำลังที่เป็นไปได้อยู่ที่ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการควบรวมกิจการตั้งแต่ในปี 2566-2567
ดังนั้น คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจนี้ โดยมี DTAC เป็นหุ้นเด่นของเรา ปัจจัยผลักดันราคาหุ้น คือ 1) การควบรวมกิจการเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คาด และ 2) มูลค่าการผนึกกำลังที่สูงเกินคาด สำหรับนักลงทุนแบบเก็งกำไร กลยุทธ์ของเรายังคงเดิมคือให้ซื้อเมื่อตลาดลดความคาดหวังต่อดีลควบรวมและทำกำไรเมื่อตลาดมีความมั่นใจมากเกินไปเกี่ยวกับการควบรวม
สำหรับ ความเสี่ยงขาลง ได้แก่ 1) ความล้มเหลวของการควบรวมกิจการไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม 2) มาตรการเยียวยาที่ไม่เอื้อประโยชน์ของ กสทช. 3) การแข่งขันหลังควบรวมกิจการที่ยังรุนแรงและ 4) กสทช. จะจัดประมูลคลื่นความถี่ 3.5 GHz ภายในสิ้นปีนี้ หากการควบรวมล้มเหลว
ทั้งนี้ อาจต้องปรับลดมูลค่าเพิ่มจากการควบรวมสำหรับราคาเป้าหมายของ ADVANC(45.35 บาท) DTAC (24.86 บาท) และ TRUE (2.33 บาท และเราคาดว่าความสนใจจากนักลงทุนจะหมดไปสำหรับทั้งกลุ่ม หากการวมตลาดสำหรับทั้งของโทรศัพท์มือถือและfixed broadband ล้มเหลว
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การออกเสียงของคณะอนุกรรมการไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยจะมีเพียงคณะกรรมการ กสทช. เท่านั้นที่สามารถอนุมัติหรือปฏิเสธการควบรวมกิจการได้
ทั้งนี้มองว่าถ้า กสทช. ตัดสินใจบังคับใช้มาตรการสองยี่ห้อ 5 ปี (แทนที่จะเป็น 3 ปีตามประมาณการของเรา) จะมีดาวน์ไซด์ 2% ต่อมูลค่ายุติธรรมหลังการควบรวมกิจการสำหรับ TRUE (5.56 บาท/หุ้น) และ DTAC (56.81 บาท/หุ้น)
รวมถึงอาจต้องลดคาดการณ์กำไรสุทธิหลักในปี 2569 ลงประมาณ 28.3% เป็น 1.25 หมื่นล้านบาท หากมาตรการ Dual Brand ถูกบังคับใช้ 5 ปี (2566-70) ซึ่งการเริ่มการเจรจาระหว่าง TRUE และ กสทช. เกี่ยวกับมาตรการในการควบรวมกิจการอาจส่งผลให้การควบรวมกิจการล่าช้าออกไปอีก
อย่างไรก็ตามยังคงมองว่า กสทช. จะอนุมัติการควบรวมกิจการในไตรมาส 3/65 โดยประเมินราคาเป้าหมายของ TRUE ไว้ที่ที่ 5 บาท อิงตาม 1) มูลค่ายุติธรรมหลังการควบรวมกิจการ 5.56 บาท/หุ้นและ 2) ส่วนลด 10% จากมูลค่ายุติธรรม (ความน่าจะเป็น 90% ของการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จภายใน ไตรมาส 4/65) ปัจจัยบวกที่จะหนุนราคาหุ้น คือ การอนุมัติการควบรวมกิจการ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้น TRUE พุ่งแตะราคา VTO ที่ 5.09 บาท/หุ้น
ขณะที่ DTAC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มหนุนราคาหุ้นคือการอนุมัติควบรวมกิจการกับ TRUE ในเดือน ส.ค.65 โดยปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือเพียง 51.10 บาทต่อหุ้น แต่คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากงบไตรมาส 2/65 ที่ออกมาต่ำกว่าหลายฝ่ายคาดไว้ จึงทำให้ต้องปรับลดกำไรสุทธิปี 65 แต่อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรสุทธิหลักไตรมาส 3/65 จะฟื้นตัวจากไตรมาส เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น