
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เจ้าของ M-150 เครื่องดื่มชูกำลังอันดับ 1 ของไทย และสินค้าชื่อคุ้นหูคนไทยที่มีประวัติอันยาวนาน กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 17 ต.ค.นี้
เจาะ 8 เรื่องน่ารู้หุ้นของ OSP จากข้อมูลในแบบไฟลิ่ง มาให้นักลงทุนที่มีความสนใจใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
1.OSP เป็นผู้ผลิต M-150 เครื่องดื่มชูกำลังอันดับ 1 ของไทย
OSP เป็นผู้ผลิต จัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ทั้งในและต่างประเทศอีก 25 แห่ง ประกอบด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สองกลุ่ม ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์กลุ่มหลัก อาทิ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เอ็ม-150 ลิโพ ฉลาม และโสมอิน-ซัม เครื่องดื่มเอ็มเกลือแร่ กาแฟพร้อมดื่มเอ็ม-เพรสโซ และ (2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มรอง ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มที่มีการเติมส่วนผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติเฉพาะได้แก่ ซี-วิต เปปทีน คาลพิส และคาวาอิ (3)กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เบบี้มายด์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิง ทเวล์ฟพลัส
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีธุรกิจบริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน โดยให้บริการการจัดจำหน่ายและการผลิต (ให้กับกิจการร่วมค้าบางแห่ง) และบริการภายใต้สัญญาบริการผลิตสินค้า ทั้งนี้ ธุรกิจบริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชนมีขนาดเล็กลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการเลิกสัญญาจัดจำหน่ายสินค้ากับยูนิชาร์มในเดือนมีนาคม 2560
ในปี 60 มีสัดส่วนรายได้จาก ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม 73.3% ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 9.5% ธุรกิจบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน 2.2% และผลิตสินค้า 6.2% และอื่นๆ 8.8%
จากรายงานของฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน ระบุว่าเครื่องดื่มบำรุงกำลังของบริษัทมีสัดส่วนมูลค่าตลาดถึง 54.4% ของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศไทยของปี 60 และงวดหกเดือนแรกปี 61 ขณะที่ เอ็ม-150 เป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาด 39% ภายในปี 60
2.รายได้ผันผวน แต่อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี
ผลการดำเนินงานในปี 58 - ครึ่งแรกปี 61
หน่วย : ล้านบาท
ปี รายได้ กำไรสุทธิ อัตรากำไรสุทธิ(%)
58 32,044 2,336 7.3
59 33,003 2,980 9
60 26,210 2,939 11.2
6 เดือนปี 61 10,868 1,471 11.7
รายได้ OSP มีความผันผวนอย่างมากตามรายได้การบริหารจัดการซัพพลายเชน ทำให้กำไรสุทธิแกว่งตัวมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับหน่วยสินค้าผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และปรับลดต้นทุนผลิตโดยรวม
3.ราคาไอพีโอ 25 บาท สูงสุดจากช่วงราคา 22-25 บ.
OSP กำหนดราคา IPO ที่ 25 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดจากกรอบราคา 22 - 25 บาท ตามการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์(Bookbuilding) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของผู้ลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา โดยการตั้งช่วงราคา (Price Range) และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสถาบันแจ้งราคาและจำนวนหุ้นที่ประสงค์จะจองซื้อมายังผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายและผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers)
ซึ่งระดับราคา 25 บาท คิดเป็นราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) อยู่ที่ 29.51 เท่า ซึ่งปัจจุบัน P/E ของบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่ที่ 31.21 เท่า
อนึ่ง OSP ขายหุ้นไอพีโอทั้งหมด 603.75 ล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นหลังเสนอขายไอพีโอที่อยู่ที่ 3,003.75 ล้านหุ้น
มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1 บาท/หุ้น
มูลค่าทางบัญชีที่ 1.72 บาท/หุ้น (คำนวณ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 61)
เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 17 ต.ค. 61
ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
อันเดอร์ไรท์ บล.กรุงศรี, บล.เคที ซีมิโก้, บล.ทิสโก้, บล.ไทยพาณิชย์, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.หยวนต้า, บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย), บล.เอเซีย พลัส
มีผู้ซื้อเบื้องต้นในต่างประเทศคือ J.P. MORGAN SECURITIES PLC และ MERRILL LYNCH (SINGAPORE) PTE. LTD.
สัดส่วนการเสนอขายหุ้น IPO ดังนี้
ประเภทผู้ลงทุน จำนวนหุ้นที่เสนอขาย (ล้านหุ้น) สัดส่วนที่เสนอขาย(%)
บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 392.25 65%
ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 208.37 34.5%
เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 18.34 3%
เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร 3 0.5%
เสนอขายต่อพนักงานของบริษัทฯ 16.53 2.7%
ผู้ลงทุนในต่างประเทศผ่านผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ 211.50 35%
4.นำเงินระดมทุนใช้หนี้-ปักฐานผลิตเครื่องดื่มในเมียนมา
บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 603,750,000 หุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 25 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 1.26 หมื่นล้านบาท (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้) ไปใช้ดังนี้
-ใช้เงินจำนวน 5,394 ล้านบาทภายในปี 61 - 62 เพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศรวมถึงการพัฒนาปรับปรุงการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพสินค้า และการดำเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ แบ่งเป็น ก่อสร้างโรงงานเครื่องดื่มในเมียนมา 2,424 ล้านบาท สร้างเตาหลอมแก้ว 1,800 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานแป้งแห่งใหม่ 167.3 ล้านบาท และโครงการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ 1,002 ล้านบาท
-ใช้เงินจำนวน 5,408 - 5,700 ล้านบาทภายในปี 61 ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน
-ใช้ 0 - 1,198 ล้านบาทภายในปี 61 - 62 เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท
5.มีหุ้นไม่ติด Silent Period จำนวน 507.2 ล้านหุ้น คิดเป็น 16.9% ของหุ้นทั้งหมด
สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารของบริษัท”ที่ไม่ติด Silent period มีจำนวน 507,221,300 หุ้น คิดเป็น 16.9% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
สัดส่วนผู้ถือหุ้นหลังขาย IPO
1) Orizon Limited 17.88%
2) กลุ่ม โอสถานุเคราะห์ 45.37%
3) ประชาชนทั่วไป 24.50%
4) กลุ่ม ไชยประสิทธิ์ 3.36%
4) ผู้ถือหุ้นเดิม 8.89%
6.มีนโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิ
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นแต่ละปีไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัทหลังหักทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯกำหนด ทั้งนี้การพิจารณาการจ่ายเงินปันผลจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัท กระแสเงินสด และภาระผูกพันตามสัญญา (เช่นการจ่ายชำระเงินคืนกู้ยืม) การสำรองเงินไว้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน แผนการลงทุนในอนาคตรวมทั้งการขยายธุรกิจ สภาพตลาด รวมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.มี D/E สิ้นไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 2.5 เท่า ส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้ระยะสั้นสถาบันการเงิน
OSP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น(D/E) ณ งวด 6 เดือนแรกปี 61 อยู่ที่ 2.5 เท่า หนี้สินหลักมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน เจ้าหนี้หมุนเวียนอื่น และเจ้าหนี้การค้า
งบแสดงฐานะการเงิน OSP ณ 30 มิ.ย. 61 ดังนี้
สินทรัพย์รวม 15,122.7 ลบ.
หนี้สินรวม 10,765.9 ลบ.
ส่วนของผู้ถือหุ้น 4,356.7 ลบ.
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) 2.5 เท่า
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) 19.4%
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 75.5%
8."นิติ โอสถานุเคราะห์" เตรียมโยนบิ๊กล็อตตั้งแต่เทรดวันแรก
ข้อมูลในไฟลิ่งระบุว่า นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ซึ่งมีจำนวนหุ้นก่อนไอพีโออยู่ที่ 624.25 ล้านหุ้น มีความต้องการขายหุ้นที่ถืออยู่ใน OSP จำนวน 135.16 ล้านหุ้น ภายในวันแรกของการซื้อขายด้วยวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot)โดยใช้ราคา 25 บาทซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่เสนอขายไอพีโอ ภายหลังการขายหุ้นแล้ว นายนิติ โอสถานุเคราะห์ จะเหลือจำนวนหุ้น 489.08 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 16.28%
นอกจากนี้ในจำนวนหุ้นที่เสนอขายไอพีโอทั้งหมด 603.75 ล้านหุ้น เป็นหุ้นที่มาจากหุ้นเดิมของ Orizon Limited ด้วยถึง 67 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของ Y Invesment Ltd อีก 30 ล้านหุ้น
ใครสนใจหุ้น OSP อยู่ต้องไปรอเทรดใรกระดานหุ้นกัน เขาไม่แบ่งมาให้รายย่อยๆ อย่างพวกเรา แต่รอโอกาสจังหวะเก็บกันต่อไป
ที่มาข่าว : อีไฟแนนซ์ไทย